การออกแบบการจัดการน้ำอัจฉริยะในพื้นที่เกษตรกรรมบนภูเขาด้วย AI และภูมิปัญญาท้องถิ่น Smart Water Management Design in Highland Agriculture using AI and Indigenous Knowledge (Non-Degree Certificate Program)
แบบรายงานการดำเนินงานฉบับสมบูรณ์
รายงานฉบับสมบูรณ์
โครงการ
“ การออกแบบการจัดการน้ำอัจฉริยะในพื้นที่เกษตรกรรมบนภูเขาด้วย AI และภูมิปัญญาท้องถิ่น Smart Water Management Design in Highland Agriculture using AI and Indigenous Knowledge (Non-Degree Certificate Program) ”
หัวหน้าโครงการ
ได้รับการสนับสนุนโดย สถาบันอาศรมศิลป์
หลักสูตร Non-Degree
พฤศจิกายน 2568
ชื่อโครงการ การออกแบบการจัดการน้ำอัจฉริยะในพื้นที่เกษตรกรรมบนภูเขาด้วย AI และภูมิปัญญาท้องถิ่น Smart Water Management Design in Highland Agriculture using AI and Indigenous Knowledge (Non-Degree Certificate Program)
ที่อยู่ จังหวัด
รหัสโครงการ FN68/0039 เลขที่ข้อตกลง
ระยะเวลาดำเนินงาน ตั้งแต่ 1 มิถุนายน 2568 ถึง 30 พฤศจิกายน 2568
กิตติกรรมประกาศ
"การออกแบบการจัดการน้ำอัจฉริยะในพื้นที่เกษตรกรรมบนภูเขาด้วย AI และภูมิปัญญาท้องถิ่น Smart Water Management Design in Highland Agriculture using AI and Indigenous Knowledge (Non-Degree Certificate Program) จังหวัด" สำเร็จได้ด้วยดี ด้วยความร่วมมือจาก สมาชิกในชุมชน
คณะทำงานโครงการฯ ขอขอบคุณ สถาบันอาศรมศิลป์ ที่ให้การสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินโครงการฯ รวมทั้ง ภาคีเครือข่ายที่สำคัญระดับพื้นที่ ที่ให้การสนับสนุน ช่วยเหลือ ชี้แนะ สุดท้ายขอขอบคุณผู้เกี่ยวข้องที่มิได้ระบุชื่อไว้ในที่นี้ ซึ่งมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนการดำเนินงานให้มีความยั่งยืนในพื้นที่ต่อไป
คณะทำงานโครงการ
การออกแบบการจัดการน้ำอัจฉริยะในพื้นที่เกษตรกรรมบนภูเขาด้วย AI และภูมิปัญญาท้องถิ่น Smart Water Management Design in Highland Agriculture using AI and Indigenous Knowledge (Non-Degree Certificate Program)
บทคัดย่อ
โครงการ " การออกแบบการจัดการน้ำอัจฉริยะในพื้นที่เกษตรกรรมบนภูเขาด้วย AI และภูมิปัญญาท้องถิ่น Smart Water Management Design in Highland Agriculture using AI and Indigenous Knowledge (Non-Degree Certificate Program) " ดำเนินการในพื้นที่ รหัสโครงการ FN68/0039 ระยะเวลาการดำเนินงาน 1 มิถุนายน 2568 - 30 พฤศจิกายน 2568 ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจำนวน 1,200,000.00 บาท จาก สถาบันอาศรมศิลป์ เพื่อใช้ในการดำเนินกิจกรรมโครงการ หลังจากสิ้นสุดระยะเวลาโครงการ ผลที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงานปรากฏดังนี้
โครงการนี้ยังไม่มีการเขียนหรือแก้ไขบทคัดย่อ
หมายเหตุ : รายละเอียดของบทสรุปคัดย่อการดำเนินงาน ให้ผู้รับผิดชอบโครงการเป็นผู้เขียนสรุปภาพรวมของโครงการใน "ผลลัพธ์โครงการ"
สารบัญ
กิตติกรรมประกาศ »
บทคัดย่อ »
ความเป็นมา/หลักการเหตุผล »
วัตถุประสงค์โครงการ »
กิจกรรม/การดำเนินงาน »
กลุ่มเป้าหมาย »
ผลลัพธ์ที่ได้ »
การประเมินผล »
ปัญหาและอุปสรรค »
ข้อเสนอแนะ »
เอกสารประกอบอื่นๆ »
ความเป็นมา/หลักการเหตุผล
สถานการณ์
วัตถุประสงค์โครงการ
กิจกรรม/การดำเนินงาน
- ภาพรวมของรายวิชา/พื้นฐานการวิเคราะห์ลุ่มน้ำ - ศึกษาภูมิสังคมและระบบน้ำในพื้นที่สูง
- วิเคราะห์ระบบน้ำเชิงพื้นที่ เรียนรู้ เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการจัดการน้ำ ออกแบบและติดตั้งระบบน้ำในพื้นที่สูง สื่อสารผลการเรียนรู้และออกแบบ
- Workshop ครั้งที่ 1 เตรียมการเรียนรู้จากแปลง/ข้อมูลลุ่มน้ำ/เทคโนโลยีเจาะในพื้นที่/ออกแบบพื้นที่เบื้องต้น
- Workshop ครั้งที่ 2 เตรียมการเรียนรู้จากแปลง/ข้อมูลลุ่มน้ำ/เทคโนโลยีเจาะในพื้นที่/ออกแบบพื้นที่เบื้องต้น
- Workshop ครั้งที่ 3 เตรียมการเรียนรู้จากแปลง/ข้อมูลลุ่มน้ำ/เทคโนโลยีเจาะในพื้นที่/ออกแบบพื้นที่เบื้องต้น
- วิเคราะห์ข้อจำกัดพื้นที่และวางแผนออกแบบ ติดตั้งระบบน้ำจริงร่วมกับชุมชน
- Workshop ฝึกเขียน Reflection Log และพูดต่อกลุ่ม, เปิดห้อง Open สื่อสารผลการเรียนรู้และออกแบบเชิงนโยบาย ร่วมกับเครือข่ายจุฬาฝ่าพิบัติในงาน NAN FORUM
- สรุป และนำเสนอ Poster สไลด์/วิดีโอ/Poster ข้อเสนอเชิงนโยบาย
- Reflection & Post-test เพื่อประเมิน batch
- กิจกรรม การติดตามและประเมินผลหลังหลักสูตร (Follow-up and Impact Evaluation)
- การติดตามและประเมินผลหลังหลักสูตร (Follow-up and Impact Evaluation)
กลุ่มเป้าหมาย
กลุ่มเป้าหมาย จำนวนที่วางไว้
ผลที่คาดว่าจะได้รับ
ส่วนที่ 1 ผลการดำเนินงาน
วัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้
ผลลัพธ์และตัวชี้วัดผลลัพธ์**
กิจกรรมของโครงการ ผลผลิต* ผลผลิตที่ตั้งไว้ ผลผลิตที่เกิดขึ้นจริง
1. ภาพรวมของรายวิชา/พื้นฐานการวิเคราะห์ลุ่มน้ำ - ศึกษาภูมิสังคมและระบบน้ำในพื้นที่สูง
วันที่ 20 มิถุนายน 2568 เวลา 09:00 น.กิจกรรมที่ทำ
- เปิดหลักสูตรและชี้แจงภาพรวม อธิบายที่มาและความสำคัญของการเปิดหลักสูตรการออกแบบการจัดการน้ำอัจริยะในพื้นที่เกษตรกรรมบนภูเขาด้วย AI และภูมิปัญญาท้องถิ่น ชี้แจงการร่วมมือของภาคีเครือข่ายในการออกแบบและจัดการเรียนการสอนหลักสูตรนี้ซึ่งมีทั้งบริษัทเอกชน มหาวิทยาลัยเอกชน มหาวิทยาลัยรัฐ เป็นต้น และระบุเป้าหมายผู้เรียนของหลักสูตรว่าจะเป็นผู้ที่สามารถวิเคราะห์ ออกแบบ และพัฒนาระบบจัดการน้ำในพื้นที่เกษตรกรรมบนที่สูงได้โดยประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลร่วมกับภูมิปัญญาท้องถิ่น และสื่อสารองค์ความรู้ผ่านสื่อและเวทีสาธารณะ
- อธิบายภาพรวมหัวข้อ ความสำคัญของต้นน้ำและการจัดการลุ่มน้ำ จากความเข้าใจลุ่มน้ำ สู่การลงมือฟื้นฟู แนวคิดการจัดการน้ำระดับลุ่มน้ำสาขาและลุ่มน้ำย่อย แลกเปลี่ยนแนวคิดการจัดการ กรณีศึกษา: โครงการฟื้นป่าน่าน หรือ โครงการต้นแบบการจัดการน้ำทั้งระบบ กรณีศึกษาลุ่มน้ำน่าน, Chula Disaster Solutions Network และการจัดการภัยพิบัติ และแนวทางการมีส่วนร่วมของชุมชน และให้ข้อมูลสถานการณ์น้ำของประเทศไทย ปัญหาจากการละเลยต้นน้ำ
- แลกเปลี่ยนแนวคิดว่ามหาวิทยาลัยต้องเป็นกลไกเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้สังคม เริ่มจากสร้างต้นแบบความสำเร็จ ร่วมกับชุมชนลุกขึ้นฟื้นฟูเอง และนำความรู้ทางวิชาการผนวกกับการใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่น โดยให้ชุมชนร่วมคิด ร่วมวางแผน ร่วมภาคภูมิใจ
- แนะนำโครงสร้างโมดูลและแนวคิด "ภูมิสังคม" จากพระราชดำรัสของรัชกาลที่ 9 ที่เน้นการพัฒนาพื้นที่ให้สอดคล้องกับทั้งภูมิศาสตร์ (Geo) และสังคม (Social)
- อธิบายกระบวนการพัฒนาพื้นที่ 7 ขั้นตอน โดยเน้นที่ 3 ขั้นแรกก่อน ให้ผู้เรียนสำรวจภูมิสังคมของพื้นที่ตัวเองใน 3 ขั้นตอนแรก ได้แก่ 1) การสำรวจภูมิศาสตร์ คือ ตำแหน่งที่ตั้งของพื้นที่ ลุ่มน้ำใหญ่ของที่ตั้ง ใกล้แหล่งน้ำอะไรบ้าง ลักษณะดิน ความชื้นสัมพัทธ์ ทิศทางลม ฤดูกาล ฯลฯ, 2) การสำรวจสังคมศาสตร์ คือ ผู้ที่ใช้ประโยชน์ในพื้นที่มีใครบ้าง จำนวนเท่าไหร่ เป็นคนในหรือนอกพื้นที่ สถานที่ใกล้เคียง ต้นทุนทางสังคม ชุมชนและเครือข่าย ปัญหาของพื้นที่ชุมชน ความเชื่อ ประเพณี วัฒนธรรม พืชและสัตว์ท้องถิ่น ฯลฯ และ 3) วัตถุประสงค์ คือ เป้าหมายของการทำโครงการ โดยการสัมภาษณ์เจ้าของโครงการ
- แนะนำเครื่องมือดิจิทัลสำหรับการสำรวจและออกแบบ เช่น Agri-Map: แผนที่เกษตรของกระทรวงเกษตรฯ ใช้สำหรับดูข้อมูลพิกัด, ประเภทดิน, ลุ่มน้ำ และ Google Earth Pro: ใช้วิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียม, เส้นทางน้ำไหล, เส้นชั้นความสูง เพื่อเข้าใจความสัมพันธ์ต้นน้ำ-ปลายน้ำ
- มอบหมายภารกิจและให้ผู้เรียนแลกเปลี่ยนเรียนรู้ กรอกข้อมูลการสำรวจภูมิสังคม (3 ขั้นแรก) ของพื้นที่ตนเองในใบงานออนไลน์ ได้แก่ การสำรวจเชิงภูมิศาสตร์ การสำรวจเชิงสังคมศาสตร์ วัตถุประสงค์ของเจ้าของพื้นที่
- แนะนำการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการออกแบบพื้นที่ และสาธิตการใช้ AI เช่น ChatGPT, Google Gemini, Grok, Meta AI แลกเปลี่ยนความสำคัญของการให้คำสั่ง (Prompt) ข้อควรระวัง และโครงการยักษ์ AI ที่จะทำร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยใช้ข้อมูลจากหลักสูตรและพื้นที่จริงเพื่อการเตือนภัยพิบัติ การจัดการน้ำและตะกอนดิน
- ให้ผู้เรียนแชร์ประสบการณ์การสำรวจภูมิสังคมของตนเอง และสะท้อนการเรียนรู้และข้อค้นพบในวันนี้
- นัดหมายการเรียนครั้งถัดไปในพื้นที่จริง (On-site) ในหัวข้อการวิเคราะห์ระบบน้ำเชิงพื้นที่และเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการจัดการน้ำ วันที่ 1-5 กรกกฎาคม พ.ศ. 2568 นัดหมายและชี้แจงการเตรียมตัว การเดินทาง ที่พัก ฯลฯ
ผลผลิต/ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น
ผลผลิต (Output) ที่เกิดขึ้นจริง
องค์ความรู้และแนวคิดหลักที่ถ่ายทอดแนวคิด "ภูมิสังคม" (Geo-Social Approach): การพัฒนาพื้นที่ต้องคำนึงถึงทั้งภูมิศาสตร์ (ลุ่มน้ำ, ความสูง, ทิศทาง, ภูมิอากาศ) และสังคม (ชุมชน, วัฒนธรรม, ความเชื่อ, ความต้องการ) สิ่งที่ขยายผลได้ คือ กระบวนการ 7 ขั้นตอนนี้เป็นเครื่องมือที่ใช้ได้จริง สามารถพัฒนาเป็นคู่มือมาตรฐานสำหรับการพัฒนาพื้นที่ประเภทต่างๆ นำไปสอนในระดับมหาวิทยาลัย หรือใช้เป็นกรอบการทำงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น นอกจากนี้ยังสามารถปรับใช้กับการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืน การท่องเที่ยวชุมชน การพัฒนาเมืองอัจฉริยะ และโครงการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ
ความรู้เฉพาะด้านที่สามารถนำไปใช้ได้ทันที เรื่องการจัดการน้ำในพื้นที่สูง เนื่องจาก ปัญหาหลักที่พบ คือ ช่วงฝนน้ำมากและไหลรวดเร็ว ทำให้หน้าดินถูกชะล้าง, ช่วงแล้งขาดแคลนน้ำอย่างรุนแรง, การสูญเสียดินบนสุดที่อุดมสมบูรณ์ โดยแนวทางแก้ไขที่ได้ผล ได้แก่ ปรับพื้นที่เป็นนาขั้นบันได (Terrace Farming) เพื่อชะลอการไหลของน้ำและลดการพังทลายของดิน, สร้างระบบเก็บน้ำหลายระดับ ประกอบด้วย นาขั้นบันได คลองไส้ไก่ และหนองน้ำบนเนิน, การคำนวณความสูงและระยะทางอย่างแม่นยำเพื่อเลือกอุปกรณ์ที่เหมาะสม ได้แก่ ขนาดท่อ ชนิดปั๊ม และจำนวนแผงโซลาร์เซลล์, การออกแบบให้น้ำไหลซึมลงดินและเก็บกักไว้ในชั้นดินเพื่อเป็นน้ำซับ สิ่งที่ขยายผลได้ คือ โมเดลนี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในพื้นที่เกษตรบนภูเขาทั่วประเทศ โดยเฉพาะภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สามารถพัฒนาเป็นคู่มือการจัดการน้ำสำหรับเกษตรกร จัดอบรมเชิงปฏิบัติการ หรือนำเสนอเป็นนโยบายสาธารณะเพื่อขอสนับสนุนงบประมาณจากภาครัฐ นอกจากนี้ยังสามารถพัฒนาเป็นแพ็กเกจโซลูชันสำหรับพื้นที่ต้นแบบ และขยายผลเป็นเครือข่ายพื้นที่เรียนรู้
ความรู้เฉพาะด้านที่สามารถนำไปใช้ได้ทันที เรื่องการประเมินพื้นที่ต้นน้ำ-ปลายน้ำ โดยข้อค้นพบสำคัญ ได้แก่ พื้นที่ที่มีความสูงเพียง 33.8 เมตรจากระดับน้ำทะเล (กรณีสวนทุเรียนในนครศรีธรรมราช) ก็สามารถจัดเป็นพื้นที่ต้นน้ำได้ตามการวิเคราะห์ GIS, การจัดการน้ำในพื้นที่ต้นน้ำส่งผลโดยตรงต่อพื้นที่ปลายน้ำ (เช่น อำเภอท่าศาลาที่อยู่ถัดลงมา), ความรับผิดชอบในการจัดการน้ำไม่ใช่แค่เรื่องของตนเอง แต่เป็นความรับผิดชอบต่อชุมชนและสังคมส่วนรวม สิ่งที่ขยายผลได้ คือ ข้อค้นพบนี้สามารถนำไปพัฒนาเป็นแนวทางการจัดทำแผนจัดการลุ่มน้ำแบบบูรณาการ เสนอต่อองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อจัดทำข้อบัญญัติหรือแผนพัฒนาท้องถิ่น สร้างกลไกการชดเชยหรือให้รางวัลแก่เจ้าของพื้นที่ต้นน้ำที่จัดการอย่างดี และพัฒนาเป็นนโยบาย Payment for Ecosystem Services (PES) ในระดับประเทศ นอกจากนี้ยังสามารถใช้เป็นกรณีศึกษาในการสร้างความตระหนักรู้แก่สาธารณะเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างต้นน้ำและปลายน้ำ
เครื่องมือและเทคโนโลยีที่แนะนำเพื่อการสำรวจ (พร้อมวิธีใช้) เช่น Agri-Map (แผนที่เกษตร), Google Earth Pro สิ่งที่ขยายผลได้ คือ จัดทำคู่มือการใช้งานเครื่องมือดิจิทัลเป็นภาษาไทยที่เข้าใจง่าย พร้อมภาพประกอบและวิดีโอสาธิต จัดอบรมออนไลน์หรือออนไซต์สอนการใช้เครื่องมือเหล่านี้ให้กับเกษตรกรและนักพัฒนาชุมชน สร้างชุมชนออนไลน์สำหรับแลกเปลี่ยนประสบการณ์การใช้งาน พัฒนาแอปพลิเคชันภาษาไทยที่รวมฟังก์ชันการทำงานของเครื่องมือทั้งหมดไว้ในที่เดียว และจัดทำฐานข้อมูลตัวอย่างการใช้งานจากพื้นที่จริงทั่วประเทศ
การใช้ AI ในการออกแบบพื้นที่ โดย เครื่องมือ AI ที่แนะนำ: ChatGPT, Google Gemini, Grok, Meta AI มีหลักการเขียน Prompt ที่มีประสิทธิภาพ คือ 1) ระบุรายละเอียดเฉพาะเจาะจง ประเภทพืชที่ต้องการปลูก เช่น ข้าว ผัก ไม้ผล ป่าผสมผสาน, รูปแบบบ้านและสิ่งก่อสร้าง เช่น บ้านไม้ทรงไทยล้านนา บ้านดินอัดแบบดั้งเดิม 2) ใส่ข้อมูลบริบทที่สำคัญ เช่น ขนาดพื้นที่: จำนวนไร่ งาน ตารางวา, ลักษณะภูมิประเทศ: ที่ราบ เนินเขา ภูเขา 3) เพิ่มภาพประกอบ เช่น ภาพถ่ายดาวเทียมจาก Google Earth, ภาพถ่ายพื้นที่จริงจากหลายมุม, แผนที่หรือแบบร่างเบื้องต้น 4) ระบุวัตถุประสงค์และเป้าหมาย เช่น เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้หรือศูนย์ฝึกอบรม เพื่อการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ หรือเพื่อการอนุรักษ์ทรัพยากร สิ่งที่ขยายผลได้ คือ พัฒนาชุดคำสั่ง Prompt สำเร็จรูปสำหรับการออกแบบพื้นที่ประเภทต่างๆ เช่น เกษตรผสมผสาน โฮมสเตย์ ฟาร์มท่องเที่ยว ศูนย์เรียนรู้ชุมชน จัดทำฐานข้อมูลภาพออกแบบจาก AI ที่ผ่านการตรวจสอบและนำไปใช้งานได้จริง เพื่อเป็นแรงบันดาลใจและตัวอย่างให้ผู้อื่น จัดอบรมการใช้ AI สำหรับการออกแบบพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ พัฒนาระบบ AI เฉพาะทางสำหรับการออกแบบเกษตรในบริบทไทย และสร้างชุมชนผู้ใช้ AI เพื่อการออกแบบที่แลกเปลี่ยนเทคนิคและประสบการณ์กัน
แนวคิดและข้อความสำคัญที่สามารถนำไปใช้"คนใช้ AI เป็นจะมาแทนที่คนใช้ AI ไม่เป็น" สิ่งที่ขยายผลได้ คือ พัฒนาแคมเปญสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับความสำคัญของ AI Literacy สร้างหลักสูตรการเรียนรู้ AI สำหรับคนทุกวัย โดยเฉพาะกลุ่มเกษตรกรและผู้สูงอายุ จัดตั้ง AI Literacy Center ในชุมชนต่างๆ พัฒนาเนื้อหาการเรียนรู้ที่เข้าใจง่ายและเหมาะกับบริบทไทย และสร้างเครือข่าย AI Champions ที่ช่วยกันเผยแพร่ความรู้
ทักษะและสมรรถนะที่ผู้เรียนพัฒนาขึ้น ได้แก่
7.1) ทักษะการคิดเชิงระบบ (Systems Thinking) - ขยายผลได้: พัฒนาหลักสูตรการคิดเชิงระบบสำหรับนักพัฒนาชุมชนและเจ้าหน้าที่ภาครัฐ สร้างเครื่องมือช่วยวิเคราะห์ระบบ เช่น Causal Loop Diagram และ Stock-Flow Diagram จัดเวิร์กช็อปเชิงปฏิบัติการเพื่อฝึกการคิดเชิงระบบด้วยกรณีศึกษาจริง และพัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์สำหรับการทำ Systems Mapping แบบมีส่วนร่วม
7.2) ทักษะการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Literacy) - ขยายผลได้: จัดอบรม Digital Literacy สำหรับเกษตรกรและผู้ทำงานพัฒนาชุมชน สร้างคู่มือและวิดีโอสอนการใช้งานเครื่องมือดิจิทัลเป็นภาษาไทย ตั้ง Digital Learning Center ในชุมชนต่างๆ พัฒนาแอปพลิเคชันภาษาไทยที่รวมเครื่องมือจำเป็นไว้ในที่เดียว และสร้างเครือข่าย Digital Mentors ที่ช่วยเหลือผู้อื่นในการเรียนรู้
7.3) ทักษะการสื่อสารกับ AI (AI Communication Skills) - ขยายผลได้: พัฒนาหลักสูตร Prompt Engineering สำหรับคนไทย สร้างคลังคำสั่ง Prompt สำเร็จรูปสำหรับงานต่างๆ จัดประกวด AI Prompt Design เพื่อแลกเปลี่ยนเทคนิค สร้างชุมชนออนไลน์สำหรับแบ่งปัน Prompt ที่ใช้งานได้ดี และพัฒนาเครื่องมือช่วยเขียน Prompt ที่เหมาะกับบริบทไทย
7.4) ทักษะการคิดวิเคราะห์และวิจารณญาณ (Critical Thinking) - ขยายผลได้: พัฒนาหลักสูตร Critical Thinking และ Information Literacy สร้างเครื่องมือช่วยตรวจสอบความน่าเชื่อถือของข้อมูล จัดเวิร์กช็อปการคิดวิเคราะห์ด้วยกรณีศึกษาจริง สร้างชุมชนนักคิดวิเคราะห์ที่แลกเปลี่ยนเทคนิคและประสบการณ์ และพัฒนาสื่อสอนการคิดวิเคราะห์สำหรับคนทุกวัย
7.5) ทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่น (Collaboration Skills) - ขยายผลได้: สร้างแพลตฟอร์มออนไลน์สำหรับการทำงานร่วมกันและแลกเปลี่ยนความรู้ จัดตั้งเครือข่ายผู้เรียนและศิษย์เก่าที่ช่วยเหลือกัน พัฒนาโปรแกรม Mentorship ที่เชื่อมผู้เรียนรุ่นใหม่กับรุ่นพี่ สร้างกลไกการทำงานร่วมกันระหว่างพื้นที่ต่างๆ และจัดงานประชุมเครือข่ายประจำปีเพื่อแลกเปลี่ยนและเรียนรู้
ผลลัพธ์ (Outcome) ที่เกิดขึ้นจริง
การเปลี่ยนแปลงด้านความคิดและทัศนคติ
1.1) ตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อส่วนรวม
"ไม่คิดว่าพื้นที่สวนทุเรียนของตัวเองที่สูงแค่ 33.8 เมตรจะเป็นพื้นที่ต้นน้ำ ตอนนี้รู้สึกว่ามีความรับผิดชอบมากขึ้นเลย เพราะสิ่งที่เราทำส่งผลไปถึงท่าศาลาด้วย"
"เข้าใจแล้วว่าการจัดการน้ำของเราไม่ใช่แค่เรื่องของตัวเองอีกต่อไป แต่มันเชื่อมโยงกับคนอื่นๆ ในลุ่มน้ำเดียวกัน"
1.2) เปลี่ยนมุมมองต่อเทคโนโลยีและ AI
"เคยคิดว่า AI มันเป็นเรื่องไกลตัว แต่วันนี้เห็นว่าเราสามารถใช้มันออกแบบพื้นที่ของเราได้จริงๆ"
"ชอบประโยคที่ว่า 'คนใช้ AI เป็นจะมาแทนที่คนใช้ AI ไม่เป็น' รู้สึกว่าต้องเรียนรู้จริงๆ ไม่งั้นจะตกยุค"
"ตื่นเต้นมากเลยที่ได้เรียนรู้เครื่องมือใหม่ๆ อยากรีบลองใช้ AI ออกแบบพื้นที่ของตัวเอง"
"เข้าใจแล้วว่าทำไมคำสั่งที่ละเอียดจึงสำคัญ เห็นตัวอย่างที่อาจารย์โชว์ ภาพที่ออกมาต่างกันมากเลย"
1.3) เห็นคุณค่าของการผสมผสานภูมิปัญญากับเทคโนโลยี
"ไม่เคยคิดว่าทฤษฎีใหม่กับเทคโนโลยีจะไปกับภูมิปัญญาท้องถิ่นได้ขนาดนี้ นาขั้นบันไดกับ AI มันลงตัวดี"
"เห็นตัวอย่างของพี่อ๋อแล้วรู้สึกว่าต้องใช้ทั้งความรู้จากหนังสือและประสบการณ์จริงจากพื้นที่"
การพัฒนาทักษะและความเข้าใจ
2.1) เข้าใจกระบวนการทำงานที่เป็นระบบ
"ชอบกระบวนการ 7 ขั้นตอนมาก มันชัดเจนและสามารถนำไปใช้ได้จริง ไม่งงว่าต้องเริ่มต้นจากตรงไหน"
"แนวคิดภูมิสังคมทำให้เข้าใจว่าการพัฒนาพื้นที่ต้องดูทั้งที่ตั้ง ภูมิอากาศ และคนในพื้นที่ด้วย ไม่ใช่แค่ทำตามใจชอบ"
2.2) ความท้าทายและบทเรียนจากกรณีศึกษา
"ประทับใจเรื่องของพี่อ๋อมาก คำนวณว่าต้องใช้ 6 แผง แต่จริงๆ ต้องใช้ 12 แผง สอนให้รู้ว่าต้องเผื่อและคำนึงถึงสภาพจริง"
"ไม่เคยคิดว่าไฟป่าจะเป็นปัญหาขนาดต้องฝังท่อลงดิน บทเรียนจากความล้มเหลวมีค่ามาก"
2.3) ความตื่นเต้นกับเครื่องมือดิจิทัล
"รู้จัก Agri-Map กับ Google Earth Pro ครั้งแรก อยากลองใช้ดูพื้นที่ของตัวเองว่าจะหาข้อมูลอะไรเจอบ้าง"
"ชอบ Locus App ที่วัดความสูงและระยะทางได้แม่นยำ คงจะมีประโยชน์มากตอนไปลงพื้นที่จริง"
แรงจูงใจและความพร้อม
3.1) ความพร้อมในการลงมือทำ
"อยากรีบทำการบ้านเลย อยากลองใช้ AI ออกแบบพื้นที่ให้เห็นภาพว่าจะเป็นยังไง"
"ตอนนี้รู้แล้วว่าต้องสำรวจอะไรบ้างก่อนออกแบบ จะลองทำ 3 ขั้นตอนแรกของพื้นที่ตัวเองดู"
"ตื่นเต้นที่จะไปลงพื้นที่จริงในเดือนกรกฎาคม อยากเห็นว่าทฤษฎีที่เรียนจะเป็นอย่างไรในความเป็นจริง"
3.2) แรงบันดาลใจจากต้นแบบ
"เห็นพี่อ๋อที่เรียนไปแล้วทำได้จริง รู้สึกว่าเราก็ทำได้เหมือนกัน มีกำลังใจมากขึ้น"
"ชอบที่ได้เรียนรู้จากคนที่ทำจริง ไม่ใช่แค่ทฤษฎี ทำให้รู้สึกว่าเป็นไปได้"
ความเข้าใจที่เปลี่ยนไป
4.1) AI เป็นเครื่องมือ ไม่ใช่ทุกอย่าง
"เข้าใจแล้วว่า AI ไม่ได้ถูกต้อง 100% ต้องใช้ความรู้ของเราเองตรวจสอบด้วย"
"ชอบที่อาจารย์บอกว่า AI คือสมองที่สอง ไม่ใช่สมองหลัก เราต้องเป็นคนตัดสินใจเอง"
"ตอนแรกกลัวว่า AI จะมาแทนที่เรา แต่ตอนนี้เห็นว่ามันเป็นเครื่องมือช่วยคิดที่ดีมาก"
4.2) การเรียนรู้ต้องต่อเนื่อง
"รู้สึกว่าการเรียนรู้ไม่มีจบจริงๆ เทคโนโลยีเปลี่ยนเร็วมาก ต้องเรียนรู้ตลอดเวลา"
"วันนี้เรียนรู้เยอะมาก แต่รู้ว่ายังมีอีกเยอะที่ต้องเรียน โชคดีที่มีชุมชนและเครือข่ายช่วยกัน"
ข้อสะท้อนต่อการเรียนการสอน
5.1) ชื่นชมวิธีการสอน
"ชอบที่อาจารย์สอนค่อยเป็นค่อยไป ไม่งง มีตัวอย่างจริงให้เห็น"
"การได้เห็นการสาธิตการใช้ AI แบบเรียลไทม์ทำให้เข้าใจมากกว่าฟังแค่ทฤษฎี"
"การเรียนแบบนี้ดีมาก ผสมผสานทฤษฎี เครื่องมือดิจิทัล และกรณีศึกษาจริง"
5.2) ความคาดหวังต่อการเรียนรู้ต่อไป
"อยากเห็นกรณีศึกษาอื่นๆ อีก และอยากได้ลงมือปฏิบัติจริงในพื้นที่"
"หวังว่าจะได้เรียนรู้เทคนิคการใช้ AI เพิ่มเติม และได้ทดลองออกแบบพื้นที่จริงๆ"
สรุป: ผู้เรียนแสดงความตื่นเต้นและความพร้อมในการนำความรู้ไปใช้ โดยเฉพาะการยอมรับเทคโนโลยีใหม่และการเห็นคุณค่าของตนเองในฐานะส่วนหนึ่งของระบบที่ใหญ่กว่า มีความมั่นใจมากขึ้นจากการเห็นกรณีศึกษาจริงและการสาธิตเครื่องมือต่างๆ พร้อมที่จะทำภารกิจและลงพื้นที่จริงในครั้งถัดไป
56
0
2. วิเคราะห์ระบบน้ำเชิงพื้นที่ เรียนรู้ เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการจัดการน้ำ ออกแบบและติดตั้งระบบน้ำในพื้นที่สูง สื่อสารผลการเรียนรู้และออกแบบ
วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 เวลา 08:00 น.กิจกรรมที่ทำ
วันที่ 1 ก.ค. 68 (วันที่ 1 ของกิจกรรม)
08:00-09:00 | พิธีเปิดและทบทวน
• อ.กาญจนา ไขรัศมี กล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมจากหลายภูมิภาค
• ทบทวนกิจกรรมปฐมนิเทศออนไลน์ (20 มิ.ย.) เรื่องการวิเคราะห์ออกแบบพื้นที่และจัดการน้ำบนพื้นที่สูง
09:00-10:00 | ที่มาของโครงการ
• อ.เข็มเพชร บรรยายโครงการ "บัณฑิตพันธุ์ใหม่" ความร่วมมือกับ อว.
• เรื่องราวอ.ยักษ์ (อ.วิวัฒน์ ศัลยกำธร) ผู้ก่อตั้งศูนย์และปรัชญาการทำงาน
• รับชมวิดีโอ "ฅนหวงแผ่นดิน" และแชร์ความรู้สึก
10:00-11:00 | สร้างความคึกคัก
• ฝึกใส่รหัสปรบมือ 3-3-7
• แจก "ยา 4 เม็ด": เปิดใจ, ให้โอกาส, ให้อภัย, ความรัก
• แนะนำทีมงานและอาสาสมัคร
11:00-12:00 | ทำความรู้จักและแบ่งกลุ่ม
• แนะนำตัวในวงกลม (ชื่อ-ที่มา-ความถนัด)
• เกมส่งป้ายชื่อและสัมภาษณ์กัน
• แบ่งเป็น 4 หมู่บ้าน: เขียว (ก๋งซ๊ะ-เอนก), แดง (แหนม), น้ำเงิน (บอย), เหลือง (ทานตะวัน-อ้วน)
• เลือกกำนัน (โอ๋) และมอบหน้าที่ดูแลพื้นที่
13:00-15:30 | เดินสำรวจพื้นที่
• แบ่งกลุ่มตามพื้นที่: ทีมน่าน, ทีมคนเมือง, ทีมอาสา
• เดินเรียนรู้จุดต่างๆ เช่น บันได 9 ขั้น, เวทีน้ำตก, บ้านดินบังเกอร์, แพกลางน้ำ, ศูนย์ปฏิบัติธรรม, บ่อน้ำสร้าง, คันนาทองคำ, แทงค์น้ำยักษ์
15:30-17:00 | สร้างแผนที่ชุมชน
• ใช้โพสอิทเขียนอธิบายสิ่งที่เห็น
• แต่ละกลุ่มนำเสนอการเรียนรู้จากการเดินสำรวจ
• อ.เอื้อมพร แนะนำเทคนิคการทำแผนที่เดินดิน
• ฝ่าย IT ฝึกทำแบบสอบถามออนไลน์
19:00-21:00 | บรรยายพิเศษ
• อ.อาบอำไพ รัตนภานุ บรรยาย "เศรษฐกิจพอเพียงเพื่อความสุขของคนทั้งโลก"
• เชื่อมโยงพระราชดำรัสในหลวง ร.9 และ ร.10
• รับชมคลิปงานวันดินโลกและโรงเรียนปูทะเลย์มหาวิชชาลัย
• แชร์ความรู้สึกและปิดวิชาด้วยแนวคิด "ทำประโยชน์ให้ผู้อื่นก่อน"
วันที่ 2 ก.ค. 68 (วันที่ 2 ของกิจกรรม)
05:00-08:00 | พัฒนากาย-ใจ-ปัญญา และฐานพระแม่ธรณี
• อ.สีหนาท บุตรพระพาย นำยืดเส้น, อ.นรากร พิมล สอนหายใจ 4-7-8 และหลักธาตุ 4
• อ.กรุง ศรีเมือง สอนองค์ประกอบดินดี (น้ำ-อากาศ 25%, อินทรีย์วัตถุ 5%, แร่ธาตุ 45%) มีจุลินทรีย์ 200 ล้านอาณาจักรต่อ 1 ตร.ซม.
• วิธีฟื้นฟูดิน: หยุดใช้สารเคมี, ห่มดิน, ปลูกแฝก, ขุดคลองไส้ไก่
08:00-12:00 | น้ำหมัก 7 รส และ 10 ขั้นตอนการทำงาน
• สอนสูตรน้ำหมัก: รสจืด (กระตุ้นจุลินทรีย์), รสขม (สร้างภูมิ), รสฝาด-เมาเบื่อ-เผ็ด-หอมระเหย-เปรี้ยว (ไล่แมลง)
• สูตรหมัก: สมุนไพรสด 3 กก., หัวเชื้อ 1 กก., น้ำตาล 1 กก., น้ำ 10 ลิตร (หมัก 3 เดือน)
• รับชมวิดีโอ "นิยาม 5" และเรียนรู้ 10 ขั้นตอนการทำงาน (สำรวจ→เตรียมดิน→ปลูกป่า→แฝก→ดอกไม้→ห่มดิน→แห้งชาม-น้ำชาม→คาถาเลี้ยงดิน→ศิลปะ→จัดเก็บ)
13:00-17:30 | ฐานแปรรูปและเกมจำลองภัยพิบัติ
• อ.ศิริลักษณ์ ศัลยกำธร สอนทำยาหม่องสมุนไพร, น้ำยาบ้วนปาก, ยาดองมะกรูด, น้ำยาอเนกประสงค์
• เกมจำลองภัยพิบัติ: แบ่งกลุ่มตามภูมิภาค ระบุจุดเสี่ยงภัย (น้ำท่วม, ดินสไลด์, แผ่นดินไหว) ฝึกป้องกันบ้านและช่วยเหลือชุมชนข้างเคียง (รัศมี 32 กม.)
• สะท้อนบทเรียน: ความสามัคคี, การเตรียมพร้อม, ไม่ประมาท
19:00-21:00 | ชีวะมนฑล (Bio Sphere)
• อ.อาบอำไพ รัตนภานุ นำวาดภาพร่วมกัน 3 รอบ: เติมสิ่งจำเป็น (บ่อน้ำ, นา, สมุนไพร, ไก่) → เชื่อมโยงระบบ (รากไม้, ไฟฟ้า, ฝาย) → ปัจจัยสนับสนุน (ป่า 3 อย่าง 4 ประโยชน์, คลองไส้ไก่, ฐานแปรรูป)
• เน้นย้ำ: มีเวลา 330 วันเตรียมรับมือภัยพิบัติ 30 วัน, มอบหมายดูวิดีโอ "ศูนย์ฝึกโรงเรียนจิตอาสา 904"
หมายเหตุ: วันนี้เน้นทักษะปฏิบัติ (ฐานต่างๆ) และการคิดเชิงระบบ (เกม + ชีวะมนฑล) เพื่อเตรียมพร้อมลงพื้นที่จริง
วันที่ 3 ก.ค. 68 (วันที่ 3 ของกิจกรรม)
05:00-10:00 | ลงดำนาและระบบเครือข่ายรับมือภัยพิบัติ
• อ.นรากร พิมล สอนออกแบบพื้นที่ให้เข้ากับภูมิสังคม-ภูมิปัญญา, อัตลักษณ์ศิษย์อ.ยักษ์ (ทิฐิสามัญตา, ศีล, พบปะสม่ำเสมอ)
• ลงดำนา ท่องคาถาเลี้ยงดินหลายภาษา: "เลี้ยงดิน ให้ดินเลี้ยงพืช"
• อ.เอื้อมพร ลอยประดิษฐ์ บรรยายโครงการลุ่มน้ำ 21 ล้านไร่ แบ่งกลุ่มงาน 4 กลุ่ม: Drone GIS+AI, ชุมชนต้นแบบ, ตลาดคุณค่า-แปรรูป, Yak AI
• เป้าหมาย: หมู่บ้านอยู่รอดเองได้ 72 ชม., สร้าง War Room ที่จุฬา
10:00-12:00 | ทบทวนกสิกรรมธรรมชาติและทฤษฎีใหม่
• อ.อาบอำไพ รัตนภานุ สอนหลักพื้นฐาน: กสิกรรมธรรมชาติใช้สิ่งที่มีอยู่แล้ว (ดิน น้ำ ลม ไฟ), องค์ประกอบดินดี, การสังเคราะห์แสง
• ทฤษฎีใหม่: 1 ครอบครัว 15 ไร่ ใช้นาข้าว 3 ไร่, สูตรพื้นที่ 30-30-30-10 (ปรับได้), ฝนเทียมประหยัดที่สุดในโลก
• ป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง: พออยู่ พอกิน พอใช้ พอร่มเย็น
13:00-16:00 | ธรณีวิทยาและภัยพิบัติ
• อ.สันติ ภัยหลบลี้ (จุฬาฯ) สอนภัยพิบัติทางธรณี 6 ประเภท: แผ่นดินไหว, สึนามิ, ภูเขาไฟ, น้ำท่วม, ดินถล่ม, หลุมยุบ
• ใช้ Google Earth วิเคราะห์พื้นที่จริง (บ้านขุนสถาน, มณีพฤกษ์)
• หลักการ: ที่ราบน้ำท่วมถึง (ดูจากนาข้าว), ดินถล่มที่ความชัน >15 องศา, ป้องกันด้วยต้นไม้รากลึก+นาขั้นบันได
• ข้อคิด: "ภัยพิบัติไม่ได้มีไว้หนี แต่มีไว้ให้เราแข็งแรงกว่าเค้า"
19:00-21:00 | AI และการออกแบบพื้นที่
• ส่งการบ้านออกแบบพื้นที่ด้วย AI (กำนันโอ๋: โอ๊ะโอ๋ฟาร์ม 50 ไร่, ท็อป: ระบบนิเวศตรัง, ปิ้ว: ทุเรียน-ยางพารา 2 ไร่)
• เคสสตัดี้: ใช้ AI ออกแบบโรงน้ำดื่มชุมชนบ้านน้ำหก (กำลังผลิต 1,000 ลิตร/วัน, รองรับ 500 ครัวเรือน, มีน้ำสำรอง 72 ชม.)
• แชร์ความคิด: โลกเปลี่ยน แต่ดินไม่เปลี่ยน → ต้องยึดที่ดินไว้, AI ช่วยสร้างองค์ความรู้เป็น Yak AI
หมายเหตุ: วันนี้เชื่อมโยงภัยพิบัติกับพื้นที่จริง และใช้เทคโนโลยี (AI, GIS, Drone) สร้างระบบเตือนภัยและฟื้นฟูชุมชนอย่างยั่งยืน
วันที่ 4 ก.ค. 68 (วันที่ 4 ของกิจกรรม)
08:00-12:00 | วิชาออกแบบพื้นที่บนพื้นที่สูง
• อ.อาบอำไพ รัตนภานุ สอนหลักการออกแบบพื้นที่ด้วย อุตุนิยา (ดิน น้ำ ลม ไฟ)
• เรื่องดิน: หน้าดิน (ฮิวมัส) 20 ซม. ใช้เวลาสะสม 20 ปี แก้ปัญหาดินไหลด้วยนาขั้นบันได, คลองไส้ไก่ (ความชัน 1%), ฝายกักตะกอน
• เรื่องน้ำ: เก็บน้ำฝน 100%, รับน้ำท่าจากพื้นที่ข้างบน, ขุดหนองดักน้ำ
• เรื่องลม: ลมฝนพัดจากตะวันตกเฉียงใต้→ตะวันออกเฉียงเหนือ, วางเล้าสัตว์ห่างจากทิศที่ลมพัดมาบ้าน
• เรื่องไฟ: ดูทิศทางแสงแดดไม่ให้ต้นไม้บังนา
กิจกรรม: แบ่ง 4 กลุ่มออกแบบการกักตะกอนดินในกระบะทราย ตอบคำถาม 7 ข้อ (ขนาดพื้นที่, แหล่งน้ำ, ทิศทางน้ำไหล, ความชัน, ต้นทุนในพื้นที่, ความต้องการปลูก, วิธีกักน้ำ-ตะกอน)
13:00-17:00 | การออกแบบและติดตั้งระบบน้ำบนพื้นที่สูง
• สอนการคำนวณปริมาณน้ำฝน (ตัวอย่าง: 102 มม./24 ชม. ในพื้นที่ 8,000 ตร.ม. = 400,000 ลิตร)
• ใช้เว็บ Thai Water ดูข้อมูลฝนปัจจุบันและย้อนหลังทุกพื้นที่
• สอนการออกแบบระบบน้ำ: กำหนดปริมาณน้ำที่ต้องการ, หาแหล่งน้ำ (ผิวดิน/ใต้ดิน), คำนวณ Friction Loss ผ่านเว็บ NPE
• แนะนำเทคโนโลยี: โซล่าเซลล์ สูบน้ำ, ตะบันน้ำ พกพา
ข้อสรุปสำคัญ: "ทั้งประเทศมีน้ำ แต่เก็บไม่หมด" → ต้องมีภูมิปัญญาและนวัตกรรมจัดการน้ำ
หมายเหตุ: วันนี้เน้นทักษะออกแบบพื้นที่เชิงปฏิบัติ ผสมผสานหลักอุตุนิยากับเทคโนโลยี เตรียมพร้อมก่อนลงพื้นที่จริงที่จังหวัดน่าน
วันที่ 5 ก.ค. 68 (วันที่ 5 ของกิจกรรม)
08:00-12:00 | สรุปและเตรียมนำเสนอโครงการ
สะท้อนจากการประชุม Yak AI ร่วมกับจุฬา:
• อ้วน: รวบรวมข้อมูลจากพื้นที่ (ขุนสถาน, มณีพฤกษ์, บ้านน้ำหก) นำเสนอ 2 รอบ (เครือข่ายกสิกรรม + จุฬา) เน้นหาจุดเด่น, ความเชื่อมโยง, คีย์เวิร์ด ใช้เครื่องมือ: ภาพ, วิดีโอ, อินโฟกราฟิก
• เอ็ม: ตั้งคำถามว่าจะเชื่อม AI ให้เป็นรูปธรรมอย่างไร
• กานต์ (เยาวชนเรือราง): เห็นความสำคัญของข้อมูลที่ถูกต้องและละเอียดบนโลกออนไลน์ เพื่อเก็บรักษาภูมิปัญญาอาจารย์ไว้ใน Yak AI
• บอล (อายุ 18): ได้ประสบการณ์ใหม่ เห็นว่า Yak AI จะช่วยให้คนหาข้อมูลง่าย (เช่น ทำคลองไส้ไก่บนพื้นที่สูง-ราบต่างกันอย่างไร) จะช่วยรวบรวมข้อมูลชาติพันธุ์ม้ง
กิจกรรมตัวอย่าง: วางแผนสื่อสารผลิตภัณฑ์ชุมชน (เช่น กาแฟเดอม้ง มณีพฤกษ์)
13:00-15:00 | นำเสนอผลงานกลุ่ม
แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม:
1. กลุ่มจิตอาสาพื้นที่จริง (พี่ปอน) - แสดงการลงพื้นที่ปฏิบัติงาน
2. กลุ่มชุมชน (พี่แอน) - นำเสนอโมเดลชุมชนต้นแบบ
3. กลุ่มผลิตสื่อ (พี่เข็ม) - โปสเตอร์, คลิป, สื่อประชาสัมพันธ์
4. กลุ่มฐานข้อมูล (พี่แตง) - โครงสร้าง Yak AI และการจัดการความรู้
สรุปภาพรวม: วันสุดท้ายเน้นการบูรณาการความรู้ทั้งหมด เตรียมนำเสนอโครงการต่อจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสร้างระบบ Yak AI เพื่อเก็บรักษาภูมิปัญญาและข้อมูลให้คนรุ่นต่อไปเข้าถึงได้ง่าย พร้อมลงพื้นที่จริงที่จังหวัดน่านต่อไป
ผลผลิต/ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น
ผลผลิต (Output)
Sub-PLO 01: วิเคราะห์ระบบน้ำเชิงพื้นที่
1. ภาพชีวมนฑลร่วม (1 ชุด จาก 42 คน):
• สะท้อนความเข้าใจเรื่องการเชื่อมโยงระหว่างดิน น้ำ ป่า และชีวิต
• แสดงระบบนิเวศแบบองค์รวมในพื้นที่สูง ตั้งแต่ยอดเขาถึงที่ราบ ต้นน้ำถึงปลายน้ำ
• ช่วยให้เห็นภาพความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบต่างๆ ในระบบ
• เป็นฐานคิดสำหรับการออกแบบระบบน้ำที่สอดคล้องกับธรรมชาติ
2. รายงานวิเคราะห์ภูมิสังคม:
• แผนที่เดินดินชุมชนมาบเอื้อง แสดงการใช้ประโยชน์ที่ดิน แหล่งน้ำ และทรัพยากร
• การวิเคราะห์วัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น และวิถีชีวิตที่เกี่ยวข้องกับการจัดการน้ำ
• ช่วยให้เข้าใจบริบทชุมชนก่อนออกแบบระบบน้ำ
3. การอ่านและวิเคราะห์แผนที่ภูมิประเทศ:
• เรียนรู้การอ่านเส้นชั้นความสูง (Contour Lines) เพื่อเข้าใจความชันและทิศทางการไหลของน้ำ
• วิเคราะห์ลุ่มน้ำ จุดสูง จุดต่ำ และเส้นทางน้ำไหลตามธรรมชาติ
• ระบุพื้นที่เสี่ยงภัย เช่น บริเวณที่อาจเกิดน้ำท่วม ดินถล่ม หรือน้ำแล้ง
• เป็นพื้นฐานสำหรับการวางแผนระบบน้ำที่เหมาะสมกับภูมิประเทศ
4. โมเดลกระบะทรายออกแบบระบบน้ำ (แบ่งกลุ่มทำ):
• ช่วยให้เห็นภาพ 3 มิติของภูมิประเทศและระบบน้ำได้ชัดเจน
• ฝึกคิดเชิงระบบ เข้าใจหลัก Gravity Flow (น้ำไหลจากที่สูงสู่ต่ำ)
• ทดลองออกแบบคลองไส้ไก่ นาขั้นบันได ฝาย หนอง และระบบกักเก็บน้ำต่างๆ
• เรียนรู้จากการลองผิดลองถูก เห็นผลทันทีว่าแนวทางไหนเหมาะสม
• สามารถปรับเปลี่ยนออกแบบได้ง่ายก่อนนำไปปฏิบัติจริง
• สร้างความเข้าใจร่วมกันในทีม ช่วยให้สื่อสารแนวคิดได้ชัดเจน
5. ความรู้หลักที่ถ่ายทอด:
• คลองไส้ไก่: วิธีกักเก็บและกระจายน้ำบนพื้นที่ลาดเอียง
• นาขั้นบันได: การปรับภูมิประเทศให้เหมาะกับการทำนาและชะลอน้ำ
• โคกหนองนา: ระบบบูรณาการที่อยู่อาศัย แหล่งน้ำ และพื้นที่เกษตร
• ป่า 5 ระดับ: การจัดระบบพืชหลายชั้นเพื่อฟื้นฟูป่าและกักเก็บน้ำ
• อุตุนิยา (ดิน น้ำ ลม ไฟ): หลักคิดองค์รวมในการจัดการทรัพยากร
Sub-PLO 02: เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการจัดการน้ำ
1. การใช้ Drone และภาพถ่ายทางอากาศ:
• ฝึกบินและถ่ายภาพจากมุมสูง เห็นภาพรวมพื้นที่ทั้งหมด
• ช่วยวิเคราะห์การจัดวางอาคาร ระบบน้ำฝน พื้นที่ร่มเงา
• สามารถติดตามการเปลี่ยนแปลงของพื้นที่ได้
• ลดเวลาในการสำรวจพื้นที่ขนาดใหญ่
2. การใช้ GIS (31 คนส่งงานสำเร็จ):
• พิกัดพื้นที่ 31 จุด กระจายใน 8 จังหวัด (น่าน ชลบุรี กรุงเทพฯ และภาคใต้)
• แต่ละจุดมีข้อมูลพิกัด ขนาดพื้นที่ ความสูง ความชัน ประเภทดิน และแหล่งน้ำ
• ช่วยให้วางแผนการพัฒนาได้ตรงตามบริบทพื้นที่จริง
• สามารถแชร์ข้อมูลและทำงานร่วมกันผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล
• เป็นฐานข้อมูลสำหรับระบบ Yak AI
3. การใช้ AI ออกแบบพื้นที่ (24 คนส่งงานสำเร็จ):
• แบบออกแบบด้วย AI 24 พื้นที่ หลากหลายบริบท (นาขั้นบันได, โคกหนองนา, ฟาร์มท่องเที่ยว, บ้านสวนโมเดิร์น)
• ช่วยให้เห็นภาพฝันและแรงบันดาลใจในการพัฒนาพื้นที่
• สามารถปรับแต่งและประยุกต์ใช้กับพื้นที่จริงได้
• เป็นเครื่องมือสื่อสารแนวคิดกับครอบครัวและชุมชน
• ลดต้นทุนการจ้างนักออกแบบ
4. ระบบ Yak AI:
• แผนผังระบบ 3 ระดับ: Core (ฐานข้อมูลกลาง), Platform (เครื่องมือวิเคราะห์), App (แอปพลิเคชันสำหรับผู้ใช้)
• ฐานข้อมูล 9 ประเภท: ผู้ใช้งาน, Best Practice, องค์ความรู้, ตลาดคุณค่า, IoT/Sensor, GIS/ภูมิสังคม, นโยบาย, เครือข่าย, การเงิน
• แนวคิด New Trade Concept (ตลาดคุณค่า): เชื่อมโยงผู้ผลิตกับผู้บริโภคโดยตรง เน้นคุณภาพและคุณค่ามากกว่าปริมาณ
• เป็นโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการขยายผลในอนาคต
5. กิจกรรมเสริม - การแปรรูปสมุนไพร:
• เรียนรู้การทำน้ำหมักจุลินทรีย์ 7 รส สูตรท้องถิ่น
• รู้จักสมุนไพรไทย เช่น ตะไคร้ พริกไทย ไม้หอม และสรรพคุณ
• ฝึกทำยาหม่อง น้ำยาบ้วนปาก น้ำมันสกัด
• เชื่อมโยงภูมิปัญญาท้องถิ่นกับการสร้างรายได้
• สามารถนำไปใช้ในการปรับปรุงดินและป้องกันโรคพืช
ผลลัพธ์ (Outcome)
1. การพัฒนาความรู้และทักษะ
ความรู้เรื่องเทคโนโลยีดิจิทัล:
• ก่อนอบรม ไม่รู้จัก AI, GIS, Drone, Sensor เลย 18 คน (42%) รู้จักบางคำ 21 คน (50%) และรู้จักทุกคำเพียง 3 คน (8%)
• หลังอบรม ผู้ที่ไม่รู้จักเลยลดเหลือ 0% ผู้ที่ใช้ GIS ได้จริงเพิ่มเป็น 31 คน (74%) และผู้ที่ใช้ AI ได้จริงเพิ่มเป็น 24 คน (57%)
ทักษะการออกแบบพื้นที่:
• ก่อนอบรม เคยทำแผนผังเส้นทางน้ำ 9 คน (22%) เคยใช้เทคโนโลยีสำรวจพื้นที่ 3 คน (8%) และเคยมีประสบการณ์การจัดการน้ำ 13 คน (31%)
• หลังอบรม ผู้เรียนทุกคน 42 คน (100%) สามารถทำแผนผังเส้นทางน้ำและออกแบบระบบน้ำได้ และ 31 คน (74%) สามารถใช้เทคโนโลยี GIS สำรวจพื้นที่ได้
ความเข้าใจเรื่อง "ดิน น้ำ ป่า":
• ก่อนอบรม ยังไม่เข้าใจความสัมพันธ์ชัดเจน 13 คน (32%) และเข้าใจบ้างแต่ไม่ลึก 29 คน (68%)
• หลังอบรม ผู้เรียนทุกคน 42 คน (100%) เข้าใจความเชื่อมโยงดิน น้ำ ป่าแบบองค์รวม เข้าใจหลักอุตุนิยา และเข้าใจชีวมนฑล
- คำสะท้อนของผู้เรียน
ความรู้และทักษะที่ได้รับ:
• ผู้เรียน 38 คนระบุว่าเรียนรู้ป่า 5 ระดับ คลองไส้ไก่ การห่มดิน และทฤษฎีใหม่
• ผู้เรียนทั้ง 42 คนเข้าใจการจัดการดิน น้ำ ป่าอย่างเป็นระบบ
• ผู้เรียน 28 คนรู้จักสมุนไพรและการแปรรูป
• ผู้เรียน 24 คนเข้าใจการใช้ AI GIS Drone ในการออกแบบพื้นที่
• ผู้เรียนทุกคนสามารถสำรวจพื้นที่ ทำแผนที่เดินดิน และออกแบบระบบน้ำด้วยกระบะทรายได้
ความเข้าใจระบบน้ำ:
• ผู้เรียนมากกว่า 35 คนเข้าใจว่าคลองไส้ไก่กักน้ำและกระจายความชื้น น้ำไหลจากที่สูงสู่ต่ำด้วยแรงโน้มถ่วง การจัดการโคกหนองนา และบทบาทของป่าในการซับน้ำ
• เข้าใจปัญหาเชิงระบบ เช่น น้ำไหลเร็วบนพื้นที่ชันต้องมีฝายชะลอน้ำ ดินไม่กักน้ำต้องห่มดินและปลูกแฝก ป่าเสื่อมโทรมทำให้เกิดน้ำแล้งและน้ำท่วม
ความรู้สึกของผู้เรียน:
• ความรู้สึกเชิงบวก ได้แก่ สนุก ได้รับความรู้เพิ่ม มีพลังเต็มเปี่ยม ได้กำลังใจจากเพื่อน ประทับใจ โชคดีที่ได้เรียนรู้กับอาจารย์ที่มีความรู้
• ความรู้สึกที่ท้าทาย ได้แก่ รู้สึกงงแต่พยายามตามทัน เพลียเพราะไม่ได้ทบทวนความรู้มานาน ยังไม่เข้าใจบางเรื่องและมีคำถาม รู้สึกสงสัยและได้คำถามใหม่
- แผนการนำไปใช้
การนำไปใช้ในพื้นที่:
• ผู้เรียนหลายคนต้องการนำความรู้เรื่องป่า 5 ระดับ คลองไส้ไก่ การห่มดินไปปรับใช้ในพื้นที่ตนเอง
• ต้องการใช้ AI และ GIS ในการวางแผนและออกแบบพื้นที่
• ต้องการทำน้ำหมักและยาสมุนไพรเพื่อใช้เองและจำหน่าย
• ต้องการสำรวจพื้นที่ด้วย Drone
การถ่ายทอดความรู้:
• ผู้เรียนหลายคนต้องการถ่ายทอดความรู้ให้ชุมชนและเพื่อนบ้าน
• ต้องการสร้างกลุ่มเรียนรู้ในพื้นที่
• ต้องการเป็นแกนนำในการพัฒนาพื้นที่
• ต้องการเชื่อมโยงเครือข่ายกับผู้เรียนคนอื่น
- ความพร้อมในการขับเคลื่อนต่อเนื่อง
กลุ่มแกนนำที่พร้อมขับเคลื่อน:
• แกนนำ 24 คน (57%) มีพื้นที่และแบบออกแบบพร้อมลงมือทำ
• มีฐานข้อมูล 31 จุดพิกัดพร้อมข้อมูลพื้นที่
• มีแบบออกแบบ AI 24 ชุดเป็นต้นแบบ
• มีแนวคิด Yak AI และ New Trade Concept พร้อมขยายผล
ศักยภาพในการขยายผล:
• หากแกนนำ 1 คนถ่ายทอดให้อีก 10 คน จะมีผู้รับความรู้ 240 คนในรุ่นถัดไป
• มีโครงการรูปธรรม เช่น ลุ่มน้ำ 21 ล้านไร่ในจังหวัดน่าน และโรงน้ำดื่มชุมชนบ้านน้ำหก
• พร้อมเชื่อมโยงกับระบบ Yak AI เพื่อสร้างเครือข่ายและตลาดคุณค่า
56
0
3. Workshop ครั้งที่ 1 เตรียมการเรียนรู้จากแปลง/ข้อมูลลุ่มน้ำ/เทคโนโลยีเจาะในพื้นที่/ออกแบบพื้นที่เบื้องต้น
วันที่ 20 กรกฎาคม 2568 เวลา 08:00 น.กิจกรรมที่ทำ
- ทบทวนความคืบหน้าของผู้เรียน
• ทีมงานสรุปสถานะการส่งงานของผู้เรียนใน โมดูล 1–2
o โมดูล 1: รายงานวิเคราะห์ภูมิสังคม, แบบจำลองชีวมณฑล, ข้อเสนอระบบน้ำหลายแปลง
o โมดูล 2: การอ่านแผนที่ GIS, การใช้ AI ออกแบบพื้นที่, ภาพถ่ายการใช้โดรน
• ตรวจสอบรายชื่อผู้ที่ยังไม่ส่งงาน พร้อมวางระบบติดตามผ่านกลุ่มไลน์ เพื่อให้การประเมินผลเป็นไปอย่างต่อเนื่อง
• เน้นย้ำการใช้ “ระบบส่งการบ้านออนไลน์” เพื่อจัดเก็บข้อมูลกลางของหลักสูตร
- แจ้งและปรับแผนกิจกรรมภาคสนาม
• ชี้แจงการปรับกำหนดการ จากการเดินทางไปน่าน ให้สอดคล้องกับกิจกรรม “ปราการเฟสติวัล” ที่เมืองโบราณ (26–28 ก.ค.)
• อธิบายแนวคิด “We Are Prakan” เพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจภาพรวมของกิจกรรมเชื่อมโยงระหว่างต้นน้ำ–ปลายน้ำ
• สรุปรายละเอียดกิจกรรมหลัก 4 ส่วน ได้แก่ 1) ปราการเฟสติวัล ณ เมืองโบราณ (26–28 ก.ค.) 2) การเรียนรู้ที่จังหวัดน่าน (29 ก.ค.–4 ส.ค.) 3) ตลาดจุฬาฯ (7–8 ส.ค.) สำหรับการนำเสนอผลการเรียนรู้ 4) ถอดบทเรียนออนไลน์ (14–16 ส.ค.) [ในภายหลังมีการเลื่อนกำหนดการเนื่องจากสถานการณ์น้ำท่วมในจ.น่าน]
- เตรียมความพร้อมก่อนลงพื้นที่จริง
• แจ้งรายละเอียดด้านโลจิสติกส์: เส้นทาง, การเดินทาง, อาหาร, ที่พัก, อุปกรณ์ และความปลอดภัย
• ให้คำแนะนำการเตรียมตัวสำหรับภูมิอากาศและสภาพพื้นที่สูง (บ้านมณีพฤกษ์สูง 1,200 เมตร)
• แนะนำการใช้ เทคโนโลยีติดตามน้ำและอากาศ เช่น
o Windy – ดูภาพดาวเทียมและพยากรณ์อากาศ
o iWater.net – ตรวจระดับน้ำและปริมาณฝนสะสม
• ชี้ให้เห็นการเชื่อมโยงระหว่าง “ความรู้ AI และ GIS” กับ “สถานการณ์น้ำจริงในพื้นที่น่าน”
- การเรียนรู้ร่วมและระดมความคิดเห็น
• เปิดช่วงสนทนาแลกเปลี่ยนระหว่างผู้เรียน อาจารย์ และทีมงาน
• ผู้เรียนแสดงความตื่นเต้นต่อกิจกรรมภาคสนาม และเสนอแนวทางเตรียมความพร้อม เช่น ขอพันธุ์หญ้าแฝกไปใช้ในพื้นที่จริง
• ทีมอาจารย์ชี้แนะมุมมองเพิ่มเติม เช่น การออกแบบพื้นที่ให้สัมพันธ์กับระบบน้ำ และความสำคัญของการเรียนรู้ร่วมกับชุมชน
- สรุปและวางแนวทางต่อเนื่อง
• ยืนยันกำหนดวันเรียนออนไลน์ถัดไป และกิจกรรม Workshop ครั้งต่อไป
• ย้ำว่าการลงพื้นที่น่านเป็น “ช่วงสำคัญของหลักสูตร” ที่จะรวมการเรียนรู้ทั้งด้านเทคโนโลยี สิ่งแวดล้อม และการจัดการทรัพยากรในสถานการณ์จริง
• สรุปให้เห็นภาพรวมว่า หลักสูตรนี้เป็นการทำงานร่วมของหลายภาคี (สถาบันอาศรมศิลป์ ชุมชนต้นน้ำ หน่วยงานท้องถิ่น และผู้เรียน) เพื่อสร้างคนที่มีความรู้จัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน
ผลผลิต/ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น
ผลผลิต (Outputs)
สิ่งที่เกิดขึ้น “โดยตรง” จากการดำเนินการ
• มีรายชื่อผู้ส่งและยังไม่ส่งการบ้านครบถ้วน (ใช้ประเมินความก้าวหน้า)
• ผู้เรียนรู้จักและทดลองใช้เครื่องมือเทคโนโลยี AI, GIS, Drone, Windy, iWater.net
• ได้กำหนดกิจกรรมภาคสนามและนิทรรศการครบทุกช่วง (ก.ค.–ส.ค.)
• ได้สร้างกลไกติดตามความคืบหน้าในกลุ่มไลน์
• ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการวางแผนกิจกรรมภาคสนาม (บ้านมณีพฤกษ์)
• เกิดการเตรียมความพร้อมด้านเครื่องมือ อุปกรณ์ และความปลอดภัย
ผลลัพธ์ (Outcomes)
สิ่งที่ “เปลี่ยนแปลง” หรือ “เกิดขึ้นจริง” จากผลผลิตเหล่านั้น
• ผู้เรียนเข้าใจระบบการจัดการ ดิน–น้ำ–ป่า อย่างเป็นองค์รวมมากขึ้น
• ผู้เรียนเชื่อมโยงการใช้เทคโนโลยีกับการแก้ปัญหาจริงในพื้นที่สูงได้
• เกิดการประสานความร่วมมือระหว่างชุมชนต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ
• ผู้เรียนมีทักษะติดตามสถานการณ์ภัยธรรมชาติด้วยข้อมูลจริง
• เกิดความตระหนักเรื่องความปลอดภัยและการเตรียมตัวก่อนลงพื้นที่
• หลักสูตรได้รับการขยายบทบาทไปสู่เวทีสาธารณะ (ปราการเฟสติวัล, ตลาดจุฬาฯ)
56
0
4. Workshop ครั้งที่ 2 เตรียมการเรียนรู้จากแปลง/ข้อมูลลุ่มน้ำ/เทคโนโลยีเจาะในพื้นที่/ออกแบบพื้นที่เบื้องต้น
วันที่ 8 สิงหาคม 2568 เวลา 19:00 น.กิจกรรมที่ทำ
- นำเข้าสู่บริบทการเรียนรู้จากสถานการณ์จริง
• อ.นุ้ยและทีมงานเปิดเวิร์กช็อปโดยชี้ให้เห็นว่า เหตุการณ์น้ำท่วมจังหวัดน่านในปลาย ก.ค.–ต้น ส.ค. เป็น “ห้องเรียนจริง” สำหรับหลักสูตร
• ผู้เรียนได้รับฟังรายงานสถานการณ์โดยตรงจากทีมภาคสนามที่ทำงานอยู่กับ ศูนย์ปฏิบัติการภัยพิบัติภาคประชาชนจังหวัดน่าน (ศภป.น่าน)
• ย้ำแนวคิด “เรียนบนสถานการณ์จริง เพื่อไปปฏิบัติจริง” และให้ผู้เรียนใช้กรณีศึกษานี้เป็นข้อมูล “On-going Data Set” สำหรับการพัฒนาแผนและฐานข้อมูลภัยพิบัติ
- การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ภาคสนาม
ทีมภาคสนาม 4 คน (พี่อ๋อ, พี่แอน, ไดมอนด์, น้ำชา) ถ่ายทอดประสบการณ์ตรงจากพื้นที่น้ำท่วม
• รายงานระดับน้ำสูงสุด (9.49 ม.) และผลกระทบต่อพื้นที่เปราะบาง
• เล่าขั้นตอนการปฏิบัติงานจริง: ช่วยขนส่งอาหาร, ฟื้นฟูหลังน้ำลด, ผลิตน้ำยาอเนกประสงค์ใช้ล้างบ้าน
• บอกเล่าการทำงานร่วมกับเครือข่ายภาคประชาชน มูลนิธิ และองค์กรต่าง ๆ
• สะท้อนสภาพจิตใจ ความเดือดร้อน และพลังใจของผู้ประสบภัย
- การถอดบทเรียนรายบุคคล
ผู้เรียนสะท้อนบทเรียนที่ได้จากเหตุการณ์จริง แยกตามมิติที่เรียนรู้ เช่น
พี่อ๋อ: การประเมินสถานการณ์ล่วงหน้า / การตัดสินใจอพยพ / การค้นหาผู้ตกสำรวจ
พี่แอน: สติ – ข้อมูลที่ถูกต้อง – ทีมเวิร์ก คือสามเสาหลักของการทำงานภัยพิบัติ
ไดมอนด์: การดูแลตนเอง / เครือข่ายเพื่อนและภาคี / ความสัมพันธ์กับคนในพื้นที่
น้ำชา: ทีมที่เข้มแข็ง + ข้อมูลจากคนในพื้นที่ = การช่วยเหลือที่มีประสิทธิภาพ
- การสังเคราะห์และระดมแนวทางพัฒนา
ผู้เข้าร่วมทุกคนช่วยกันต่อยอดจากประสบการณ์ เพื่อวางแนวทางการพัฒนาหลักสูตรและระบบข้อมูล เช่น
• พี่ปิ๋ว: เน้นการรู้จักคนในพื้นที่และการเตรียมร่างกาย
• พี่กรุง: เสนอระบบจัดทีมตามความถนัดและฐานข้อมูลทีม
• พี่เหลิม: แยกความต้องการของผู้ประสบภัยกับสิ่งที่ชุมชนทำได้เอง
• ศรี พิชยา: เสนอให้ใช้วิทยุสื่อสารในพื้นที่ต้นน้ำเมื่อสัญญาณโทรศัพท์ขาด
• พี่กานต์: เสนอการทำ “ฐานข้อมูลผู้ช่วยเหลือ–ผู้ประสบภัย–พื้นที่”
• พาชร: เสนอให้รวมองค์ความรู้จากอาสาภาคสนามเป็นกรณีศึกษาในหลักสูตร
• พี่เอ็ม: เปรียบสถานการณ์เป็น “สงครามกับธรรมชาติ” เน้นทีมเวิร์กและสติ
• พี่ต๊อก: ชี้ความสำคัญของเสบียงและกำลังใจ
• พี่อ้วน: เสนอ โครงสร้างข้อมูล 3 มิติ → คน / เครื่องมือ / กระบวนการ
• อ.นุ้ย: สรุปภาพรวมว่า นี่คือการเรียนรู้เชิงปฏิบัติจริง สู่การสร้างระบบข้อมูลภัยพิบัติที่ชุมชนใช้ได้จริง
- สรุปภารกิจและแนวทางต่อเนื่อง
• ทีม AI for Highland จะออกแบบ เทมเพลตระบบข้อมูลภัยพิบัติ สำหรับบันทึกผู้ช่วยเหลือ ผู้ต้องการความช่วยเหลือ และพื้นที่
• สร้าง แผนที่พื้นที่เปราะบาง (Area Mapping) และ Human Mapping เพื่อเห็นความเชื่อมโยงของเครือข่าย
• เตรียมจัด ฟอรั่ม (Forum) เพื่อดึงหน่วยงานภาคีมาร่วมวางแผนป้องกันภัยร่วมกัน
• ผู้เรียนอาสานำข้อมูลเข้าระบบและช่วยพัฒนาเทมเพลตข้อมูลกลาง
ผลผลิต/ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น
ผลผลิต (Outputs)
จากการดำเนินกิจกรรม Workshop ครั้งที่ 2 ได้เกิดผลผลิตสำคัญหลายประการ ทั้งในด้านองค์ความรู้ เครื่องมือ ทีมงาน และแนวทางพัฒนาระบบข้อมูลเพื่อรองรับสถานการณ์ภัยพิบัติ ดังนี้
1. เกิดแนวทางพัฒนา “ฐานข้อมูลภัยพิบัติภาคประชาชน”
โดยผู้เรียนและทีมภาคสนามได้ร่วมกันออกแบบกรอบข้อมูลเบื้องต้น แยกเป็นสามส่วน ได้แก่ ข้อมูลผู้ประสบภัย ข้อมูลผู้ช่วยเหลือ และข้อมูลพื้นที่ เพื่อให้สามารถเชื่อมโยงกันและใช้วิเคราะห์สถานการณ์ได้จริงในอนาคต
2. มีการกำหนดโครงสร้างเทมเพลตข้อมูลเบื้องต้น
จากข้อเสนอของพี่อ้วน ที่ให้แบ่งข้อมูลเป็นสามหมวดหลัก คือ “คน–เครื่องมือ–กระบวนการ” ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการออกแบบระบบจัดเก็บข้อมูลและการประสานงานภาคสนามได้
3. เกิดการรวมทีมภาคสนามและทีมสนับสนุนข้อมูลอย่างเป็นระบบ
ผู้เรียนที่อยู่ทั้งในและนอกพื้นที่ได้ประกาศอาสาเข้าช่วยป้อนข้อมูลเข้าสู่ระบบ และร่วมเป็นทีมต้นแบบในการพัฒนาเทมเพลตฐานข้อมูลร่วมกับทีม AI for Highland
4. ได้ชุดกรณีศึกษา (Case Study) จากสถานการณ์จริง
คือเหตุการณ์น้ำท่วมจังหวัดน่าน พ.ศ. 2568 ซึ่งถูกนำมาถอดบทเรียนในเชิงระบบ ทำให้หลักสูตรมีฐานข้อมูลและตัวอย่างจริงสำหรับการเรียนรู้ต่อยอดในอนาคต
5. มีการใช้เครื่องมือเทคโนโลยีจริงในการติดตามและวิเคราะห์สถานการณ์
เช่น Windy, iWater.net และ GIS Mapping เพื่อประกอบการเรียนรู้และจำลองกระบวนการติดตามภัยพิบัติด้วยข้อมูลจริง
6. เกิดแผนการจัดฟอรั่ม (Forum) ความร่วมมือข้ามภาคส่วน
เพื่อเชิญหน่วยงานภาครัฐ ภาคประชาชน และเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง เข้ามาร่วมออกแบบระบบข้อมูลและแนวทางป้องกันภัยร่วมกันในระดับพื้นที่
ผลลัพธ์ (Outcomes)
1. ผู้เรียนเข้าใจสถานการณ์ภัยพิบัติจากของจริง และตระหนักถึงความซับซ้อนของการจัดการน้ำในพื้นที่สูง
การได้ฟังรายงานจากทีมภาคสนามที่ปฏิบัติจริง ณ ศูนย์ปฏิบัติการภัยพิบัติภาคประชาชน จ.น่าน ทำให้ผู้เรียนเห็นภาพรวมของการเผชิญเหตุและการฟื้นฟูอย่างรอบด้าน เกิดความเข้าใจเชิงระบบ ทั้งในแง่ภูมิประเทศ สภาพอากาศ และโครงสร้างชุมชน
ผู้เข้าร่วมสะท้อนว่า “เราได้เห็นคนแก่ที่ลำบากจริง ๆ ไม่มีใครดูแล เห็นแล้วก็รู้สึกดีที่ได้ช่วย ได้บุญ ได้พลังใจ” ซึ่งสะท้อนถึงการเกิด Empathy และแรงบันดาลใจในการทำงานเพื่อผู้อื่น
2. ผู้เรียนพัฒนาทักษะการวิเคราะห์สถานการณ์และการตัดสินใจในภาวะวิกฤต
ผ่านบทเรียนจากทีมภาคสนาม เช่น การประเมินสถานการณ์ล่วงหน้า การเลือกอพยพคนเปราะบาง และการค้นหาผู้ตกสำรวจ ทำให้ผู้เรียนเห็นความสำคัญของข้อมูลและการตัดสินใจบนพื้นฐานของข้อเท็จจริง
พี่อ๋อกล่าวว่า “ถ้าประเมินสถานการณ์ได้ก่อน จะเตรียมตัวได้ทัน และช่วยคนเปราะบางได้ปลอดภัย” ซึ่งชี้ให้เห็นถึงการเรียนรู้เชิงปฏิบัติที่แปรเป็นทักษะการจัดการวิกฤตจริง
3. เกิดความเข้าใจเรื่อง “สติ ทีมเวิร์ก และข้อมูลที่ถูกต้อง” ในการทำงานภาคสนาม
ผู้เข้าร่วมตระหนักว่าการทำงานช่วยเหลือไม่ใช่เพียงแรงใจหรือความตั้งใจ แต่ต้องมีระบบข้อมูลและทีมงานที่เชื่อใจกันได้
พี่แอนกล่าวว่า “ถ้าขาดสติ มีแต่ใจอยากช่วย มันจะไม่ใช่จุดแข็งของเรา... ต้องมีทีมที่ฟังกันและมองไปในเป้าหมายเดียวกัน” — ซึ่งเป็นผลลัพธ์สำคัญด้านการเรียนรู้ภายในทีม
4. เกิดการเรียนรู้เรื่องการดูแลตนเองและการสร้างเครือข่ายความร่วมมือ
จากการถอดบทเรียนของน้องไดมอนด์และน้องน้ำชา ผู้เรียนหลายคนตระหนักว่า ผู้ช่วยเหลือต้องดูแลตนเองให้ได้ก่อน เพื่อไม่กลายเป็นภาระในสถานการณ์วิกฤต และเครือข่ายภาคีในพื้นที่เป็นทรัพยากรสำคัญของการปฏิบัติงาน
ข้อความหนึ่งที่สะท้อนชัดคือ “เราต้องดูแลตัวเองไม่ให้เป็นผู้ประสบภัยเสียเอง และต้องมีเครือข่ายในพื้นที่ที่ให้ข้อมูลได้ทันที”
5. เกิดการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างผู้เรียนและทีมปฏิบัติจริง
การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างทีมภาคสนามและผู้เรียนออนไลน์ ทำให้เกิดความเข้าใจในบทบาทของแต่ละฝ่าย และสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ร่วมกันแบบ co-learning
ผู้เข้าร่วมท่านหนึ่งกล่าวว่า “แต่ละคนมีความถนัดของตัวเอง ถ้ารู้ว่าใครทำอะไรได้ และช่วยกันได้ตรงจุด ก็จะจัดทีมได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
6. เกิดการพัฒนาแนวคิดระบบข้อมูลภัยพิบัติแบบมีส่วนร่วม
จากข้อเสนอของผู้เข้าร่วม เช่น การทำฐานข้อมูลผู้ประสบภัย–ผู้ช่วยเหลือ–พื้นที่ และการใช้เครื่องมือเทคโนโลยี เช่น GIS, Windy, iWater.net ร่วมกับข้อมูลภาคสนาม
พี่กานต์เสนอว่า “เราควรมีลิสต์ข้อมูลติดต่อประสานไว้ล่วงหน้า เมื่อพยากรณ์เตือน เราจะได้คุยกับหมู่บ้านเหล่านี้ได้ทัน” — ซึ่งเป็นผลลัพธ์เชิงระบบที่นำไปสู่การออกแบบฐานข้อมูลชุมชนอย่างแท้จริง
7. เกิดการตระหนักรู้ร่วมกันว่าภัยพิบัติไม่ใช่เหตุการณ์เล็ก แต่เป็น “สงครามกับธรรมชาติ” ที่ต้องรับมือด้วยสติและความร่วมมือ
คำของพี่เอ็มที่กล่าวว่า “สถานการณ์นี้เหมือนสงครามกับธรรมชาติ เราต้องมีทีมเวิร์ก มีกำลังใจ และสติ” ถูกหยิบยกขึ้นมาหลายครั้งในห้องเรียน เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ผู้เรียนมองเห็นคุณค่าของการเตรียมพร้อมเชิงจิตใจและการพึ่งพาอาศัยกัน
8. หลักสูตร AI for Highland Water Solution ก้าวสู่การเป็นต้นแบบการเรียนรู้จากสถานการณ์จริง
การรวมข้อมูลภาคสนาม การสะท้อนบทเรียน และการสังเคราะห์เชิงระบบ ทำให้หลักสูตรนี้มีลักษณะของ “หลักสูตรภาคสนามจริง (Real Situation Learning Model)” ที่สามารถต่อยอดสู่การสร้างหลักสูตรอาสาสมัครภัยพิบัติและการจัดการน้ำแบบบูรณาการได้ในอนาคต
0
0
5. Workshop ครั้งที่ 3 เตรียมการเรียนรู้จากแปลง/ข้อมูลลุ่มน้ำ/เทคโนโลยีเจาะในพื้นที่/ออกแบบพื้นที่เบื้องต้น
วันที่ 23 สิงหาคม 2568 เวลา 19:00 น.กิจกรรมที่ทำ
เดี๋ยวมากรอก
ผลผลิต/ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น
เดี๋ยวมากรอก
0
0
6. วิเคราะห์ข้อจำกัดพื้นที่และวางแผนออกแบบ ติดตั้งระบบน้ำจริงร่วมกับชุมชน
วันที่ 2 กันยายน 2568 เวลา 08:00 น.กิจกรรมที่ทำ
วันที่ 1: 3 กันยายน 2568
ช่วงเช้า (8:00-12:00 น.) ทีมวิทยากรประกอบด้วย อ.เอื้อมพร ลอยประดิษฐ์ อ.อาบอำไพ รัตนภาณุ นายธีระชัย ปัญโญ (หัวหน้าพมพ.6) และนายชัยรัตน์ เลิศวรรณเอก (กรรมการตัดสินกาแฟ) เริ่มกิจกรรมด้วยการแนะนำแนวคิดหลัก "น้ำในที่สูงส่งผลถึงคนข้างล่าง" และการพัฒนาระบบจัดการน้ำอัจฉริยะ โดยมีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์จากเจ้าของพื้นที่ โดยเฉพาะพ่อเอนกที่นำเสนอแปลงซึ่งเคยประสบปัญหาดินถล่มทับปั๊มน้ำ 4 เมตร แต่สามารถฟื้นฟูได้จนมีผลผลิตหลากหลาย ดักตะกอนดินได้ 20 ซม.-2 เมตร และแชร์ปรัชญา "เริ่ม-รอด" ที่เน้นการทำเพื่อลูกหลาน พี่นุ้ยวิเคราะห์ระดับความพร้อม 3 ระดับ คือระดับครัวเรือน (ขุนสถาน) ระดับชุมชน (มณีพฤกษ์ที่รอดได้เป็นปีถ้าถนนตัดขาด) และระดับเชื่อมภายนอก และนำเสนอโมเดล "กาแฟฟื้นป่าแลกโซล่าปั๊ม" ที่เป็นการแลกเปลี่ยนไม่ใช้เงิน พร้อมทั้งโครงการ AI for Highland Water Solution เพื่อเก็บข้อมูลและพิสูจน์ความยั่งยืน โดยมีแปลงเข้าร่วมจากมณีพฤกษ์ 6 แปลง ขุนสถาน 6 แปลง และพื้นที่อื่นๆ รวมกว่า 70 ราย เวลา 11:30 น. อ.ณัฐพงษ์ มณีกร นำทีมสำรวจพื้นที่จริง 2 แปลง ได้แก่แปลงพ่อทวีชัยที่มีการวิเคราะห์สันปันน้ำภูเขาและคำนวนว่าพื้นที่ 20 ไร่สามารถเก็บน้ำได้ 40,000 คิว โดยเน้นหลักการที่ว่าทางออกของน้ำต้องเป็นดินเดิมไม่ใช่ดินถม และแปลงนายพงษ์ศักดิ์ โชติอัศววงค์ ที่มีโจทย์เน้นการท่องเที่ยวโดยต้องเบี่ยงน้ำจากถนนไปคลองไส้ไก่และไม่ให้น้ำทะลัก
ช่วงบ่าย (13:00-18:00 น.) ทีมแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มปฏิบัติงาน กลุ่มแรกเรียนรู้เรื่องโซล่าเซลล์โดยคำนวนการใช้งานและเตรียมติดตั้งอุปกรณ์ ส่วนกลุ่มที่สองทำงานขุดคลองไส้ไก่ตามโจทย์จาก อ.ณัฐพงษ์ มณีกร ที่ต้องดักน้ำจากถนนและลาน ไม่ให้น้ำทะลักทำลายพื้น และใช้ประโยชน์จากน้ำให้สูงสุด กิจกรรมปิดด้วยวงสรุปที่พี่นางเพ็ญศรี โชติอัศววงค์ แสดงความขอบคุณทีมที่มาช่วยอย่างซาบซึ้งจนร้องไห้
วันที่ 2: 4 กันยายน 2568
ช่วงเช้า (8:30-12:00 น.) กลุ่มโซล่าเซลล์เข้าห้องเรียนทบทวนทฤษฎีและเรียนใช้ประโยชน์จาก AI ในการคำนวนต่างๆ หลังจากนั้นทำงานต่อท่อทั้งคืนเพื่อติดตั้งระบบให้เสร็จสมบูรณ์ ขณะที่กลุ่มคลองไส้ไก่ขุดคลองต่อจากเดิมให้ลงหนองตามโจทย์ พร้อมปลูกแฝกเพื่อยึดดิน ทำฝายชะลอน้ำ และแต่งคลองให้สมบูรณ์ โดยสามารถทำสำเร็จจนน้ำถึงแปลงพอดี 12:00 น. ตรง
ช่วงบ่าย (13:45-18:00 น.) อ.อาบอำไพ รัตนภาณุ สรุปงานโดยถามทั้งสองกลุ่มเกี่ยวกับสิ่งที่ได้ทำและหลักการออกแบบ ซึ่งทุกกลุ่มตอบว่ามี 3 ขั้นตอนคือ สำรวจพื้นที่ก่อนโดยดูทิศทางน้ำ แสง และปัจจัยต่างๆ โดยโจทย์ใหญ่คือต้องเห็นน้ำ จากนั้นออกแบบโดยคำนึงถึงการทำให้น้ำอยู่กับที่นานที่สุดและสวยงามด้วย และลงมือทำโดยแบ่งงานกันปลูกแฝก ทำฝาย ทำหลุมขนมครก ทำ Creek และคำนวนระยะทางความสูง อ.ณรงฤทธิ์ บุญหนัก อธิบายเทคนิคว่าโซล่าเซลล์สามารถดันน้ำได้ 8 บาร์ซึ่งมากกว่าไฟฟ้าที่ดันได้ 7.5 บาร์ โดยแผงโซล่าราคา 25,000 บาท ใช้ได้ 25 ปี คิดเป็นวันละประมาณ 3 บาทเท่านั้น ขณะที่ไฟฟ้าคิดชั่วโมงละ 10 บาท ส่วน อ.ณัฐพงษ์ มณีกร สรุปว่าประทับใจที่ทุกคนเข้าใจหลักการสำคัญของการจัดการน้ำบนที่สูงคือการบังคับด้วยคลอง และเน้นย้ำว่าน้ำต้องไหลช้าที่สุด สโลปต้องไปเกิน 1 ซม. พร้อมทั้งบอกว่าการเล็งและการดูระดับเป็นทักษะที่ AI ช่วยไม่ได้
วันที่ 3: 5 กันยายน 2568
ช่วงเช้า (8:30-12:15 น.) มีคนนอกกลุ่มนำพลับมาขายให้เห็นเป็นตัวอย่าง ซึ่งเก็บได้ 100 กก./ต้น ขายโลละ 25 บาท โดยไม่ได้ใส่ปุ๋ย แตกต่างจากพืชอื่นที่ต้องใช้ปุ๋ยปีละเกือบแสนบาท อ.เอื้อมพร ลอยประดิษฐ์ นำเสนอการวิเคราะห์รายรับ-รายจ่ายจากตัวอย่างบ้านปางแกที่มีครอบครัว 11 คน ใช้จ่ายรวม 242,610 บาท/ปี (22,000 บาท/เดือน) โดยค่าปุ๋ยขี้รวม 79,400 บาท/ปี และเน้นแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงที่ว่าไม่จำเป็นต้องทำได้ทุกคนแต่ให้รวมกลุ่มกันทำ พร้อมทั้งเสนอแนวคิด "เศรษฐกิจ 2 ขา" คือค้าขายได้และปลูกมีพออยู่พอกิน อ.อาบอำไพ รัตนภาณุ นำเสนอแผนการปฏิรูปประเทศที่ต้องมีความร่วมมือจาก 3 ภาคส่วน คือภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ซึ่ง "การยื่นมือมาจับกันคือสิ่งที่เรากำลังทำ เรากำลังสร้างกลไก" หลังพักเบรค อ.อาบอำไพ รัตนภาณุ เปิดคลิปพี่พาชรเกี่ยวกับการเชื่อมโยงกาแฟกับภายนอก โดยเน้นว่ามีหลายพื้นที่ในน่านประสบปัญหาดินถล่มและต้องรวมตัวกันทำงาน เช่นกรณี Gem Forest ที่ขายกาแฟระดมทุนช่วยสร้างบ้านให้คนที่ดินถล่มทับ แนวคิดสำคัญคือ "กาแฟเป็นแค่เครื่องมือที่เราคุยกับคนอื่นได้มากมาย" และ "ใช้กาแฟเป็นเครื่องมือมาทำให้บ้านเราปลอดภัย" พี่เจอธิบายว่ากาแฟมณีพฤกษ์มีคุณภาพสูงมากจนเป็น 1 ใน 5 หรือ 1-3 อันดับในทุกการแข่งขัน แต่ปัญหาคือปริมาณน้อยทำให้ไม่โด่งดังเท่าที่ควร และมีปัญหาเฉพาะคือต้องคั่วหลายรอบมากเพราะเนื้อเมล็ดแน่นกว่าที่อื่น เนื่องจากต้นอยู่ในป่านายวรเทพ อนุวงศ์ประพันธ์ แชร์ว่าปลูกกาแฟเกอิชา 10 ไร่ ค่าใช้จ่าย 100,000 บาท/ปี ไม่ฉีดยาฆ่าหญ้าเพราะจะทำให้ดินและรสชาติเสีย ส่วนพี่พะที่อยู่ในสวนกาแฟและต้องดู 2 รอบ/วัน เล่าว่าเคยถามคนที่ป่วยจากการใช้สารเคมีว่าถ้าตายห่วงอะไรที่สุด ได้คำตอบว่า "ห่วงสวน กลัวรก" ทำให้เขาตระหนักว่า "ขนาดจะตายแล้วเค้ายังคิดจะใช้เคมีอยู่เลย" นายเอนก แสนซุ้ง นำเสนอแผนการตลาดที่จะแปรรูปฟักทองและเปิดตลาดที่โรงพยาบาลน่าน หลังจากนั้นปักหมุดคนทำจริง 10 ครัวเรือนที่ตั้งเป้าลดรายจ่าย 500-2,000 บาท/เดือน และเพิ่มรายได้ 500-3,000 บาท/เดือน พร้อมพื้นที่อื่นๆ รวมกว่า 70 ราย นายเอนก แสนซุ้ง เน้นว่า "ทุกอย่างจะรอดหรือไม่รอด อยู่ที่ฐานข้อมูล"
ช่วงบ่าย (12:15-16:00 น.) แบ่งกลุ่มทำงาน 5 กลุ่ม (หัวหน้าทีม) ประกอบด้วย สัมภาษณ์ 10 แกนนำ (อ.สลิลพัชร โรจนาภินันทน์) จัดของที่จะเอาไปจุฬา (อ.กัลยารัตน์ กาญจนพังคะ) กาแฟ (อ.อาบอำไพ รัตนภาณุ) ทำแบนเนอร์และถ่ายภาพ (อ.สุชาดา เพ็งชนะ) และทำคู่มือฐานข้อมูลสินค้า (นางสาวศรีลัดดา เทพารักษ์) เวลา 15:00 น. เสนอแผนตามกลุ่ม และปิดท้ายด้วยอาหารวัฒนธรรมเวลา 16:00 น.
วันที่ 4: 6 กันยายน 2568
ช่วงเช้า-บ่าย (7:00-18:00 น.)
ออกเดินทางจากมณีพฤกษ์เวลา 8:30 น. ไปบ้านขุนสถานและถึง 12:00 น. หลังจากรับประทานอาหารเที่ยงแล้วเคลื่อนตัวไปโรงเรียนประกิตเวลา 14:00 น. โดยมีบิวตี้ ลูกสาวของนายเอนก แสนซุ้ง และเพื่อนๆ แสดงต้อนรับ และมีการเรียนรู้แบ่งเป็น 3 กลุ่มคือ ทำพิซซ่าม้ง สานตะแหล๋ว และทำน้ำมันจากขยะพลาสติก เวลา 15:40 น. ทีมเคลื่อนตัวไปแปลงนายเอนก แสนซุ้ง เพื่อสำรวจทางน้ำไหล วัดตะกอนดินในหนองและนา และปลูกหญ้าแฝกตามคันดิน
ช่วงค่ำ (19:00-22:00 น.)
จัดวงสะท้อนภายใต้คำถาม "เห็นโอกาสอะไรบ้าง" ผู้เข้าร่วมสะท้อนว่าเห็นการพัฒนาของแปลงที่มีของกินมากขึ้น ได้เรียนรู้การกักตะกอนดินและน้ำโดยแค่ดูทางน้ำว่าจะกักตรงไหน เห็นว่ากล้วยเป็นพืชพี่เลี้ยง และพืชผลขึ้นง่ายจริง อ.ณรงฤทธิ์ บุญหนัก ชี้ว่าเห็นปริมาณน้ำที่ไหลทิ้งไปเยอะมาก ถ้าดักได้ทั้งหมดจะดีมาก และสำหรับพื้นที่เปิดใหม่คิดว่าปีเดียวก็จะเห็นภาพที่ต่างออกไป นายสุพจน์ คำจาย สรุปว่า "แค่เบี่ยงไปนิดเดียว ก็กักมันได้แล้ว"นายกัมปนาท ทองชาย สังเกตว่าข้าวที่อยู่ในแปลงที่มีตะกอนโตดีกว่าที่อื่นๆ
อ.อาบอำไพ รัตนภาณุ ให้ข้อคิดว่าทุกอย่างเป็นไปตามแผนซึ่งเป็นทั้งโอกาสและความเสี่ยง และ "จากวันที่ขุด นับถอยหลังทุกครั้งที่ฝนตก คือนับวันที่จะสูญเสียโอกาสในการฟื้นฟูดิน" อ.อาบอำไพ รัตนภาณุถามนายชวนากร แสนซุ้ง ว่าคิดว่าใครควรมาเรียนซึ่งได้คำตอบว่า "อยากให้มาเรียนทุกคนเลย" และเน้นว่า "ถ้าพายุมาอีกลูกหรือสองลูก อาจจะฟื้นฟูไม่ทันแล้ว ต้องรีบทำให้ลูกนี้สมบูรณ์ สำคัญอยู่ที่ความละเอียดจริงๆ" และ "เวลามีจำกัด ต้องเร่ง" นายเอนก แสนซุ้ง ตอบรับว่าจะนำทั้งคำชม คำติ คำเตือน ไปทำในแปลงให้ดีที่สุด แม้เคยเหนื่อยจนร้องไห้คนเดียวในสวนและคิดจะเลิกทำ แต่ได้กำลังใจจากเพื่อนเลยกลับมาสู้ เพราะ "จะทำเป็นตัวอย่างของชาติพันธุ์และของหมู่บ้านให้ได้"
อ.ณัฐพงษ์ มณีกร ชื่นชมว่าแปลงนี้ยากตั้งแต่ออกแบบและขุดเพราะชัน คนที่นี่และญาติพี่น้องก็ไม่ง่าย ความคาดหวังของคนเยอะ แต่ประทับใจที่ฟักทองลูกเบอเร่อและกล้วยงามขนาดนั้นในดินที่ไม่น่าจะปลูกได้ ซึ่งเกิดขึ้นแค่ช่วงฝนนี้แม้ยังเก็บน้ำฝนไม่ได้ ท้ายที่สุดแนะนำว่า "ไม่ต้องเครียด เราต้องรู้ตัวเอง เข้าใจ ใช้เวลาตอนฝนตกจะเห็นเลยว่าน้ำไหลไปทางไหน" และตั้งคำถามว่าทีมดึงนายเอนก แสนซุ้งไปข้างนอกจนไม่มีเวลาอยู่สวนรึเปล่า แต่ก็ให้กำลังใจว่า "ไปกันต่อ"
วันที่ 5: 7 กันยายน 2568
ตลอดวัน
แบ่งทีมออกเป็น 3 กลุ่มปฏิบัติงานควบคู่กัน กลุ่มแรกนำโดย นายบุญช่วย วรวุฒิไพศาล อ.ณัฐพงษ์ มณีกร และนายพิทักษ์ บุญปลอด สำรวจพื้นที่แปลงนายบุญช่วย วรวุฒิไพศาลและทำบ้านอ.ยักษ์ กลุ่มที่สองนำโดยนายเอนก แสนซุ้ง นายไชยวัฒน์ กองอาสา นายรวีกิตติ์ ฤกษ์สกุลวงศ์ และนายณฐกร ทิวาเวช ขุดคลองไส้ไก่แปลงนายเอนก แสนซุ้ง ต่อ และกลุ่มที่สามนำโดย อ.ณรงฤทธิ์ บุญหนัก อ.สุชาดา เพ็งชนะ นางสาวกุลจิรา สุขศรีทอง นางสาวกิตติภา จันทร์เพ็ญ ซึ่งเป็นตัวแทนของทีมอช.ศรีน่าน สัมภาษณ์นางรัตมณี วรวุฒิไพศาล เรื่องปักผ้าและนายชวกร เรื่องแปลงอโวคาโด้
ผลผลิต/ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น
ผลผลิต (Output)
1. ความรู้และทักษะที่ถ่ายทอด
ด้านการจัดการน้ำ ผู้เข้าร่วมได้เรียนรู้หลักการสำรวจพื้นที่โดยการอ่านทางน้ำ การดูแนวสโลปและคอนทัวร์ รวมถึงการใช้เครื่องมือง่ายๆ อย่าง A-Frame และขวดน้ำในการวัดระดับบนพื้นที่ที่มีความลาดเอียงสูง ซึ่งเป็นทักษะที่ท้าทายและต้องอาศัยการฝึกฝนจริง การออกแบบคลองไส้ไก่ต้องคำนึงถึงความลาดชันที่เกิน 1 เซนติเมตร มีส่วนเว้า-โค้ง ลึก-ตื้น หลุม-แอ่ง และฝายชะลอน้ำ เพื่อให้น้ำไหลช้าที่สุด ไม่กักแต่ชะลอการไหล นอกจากนี้ยังได้เรียนรู้เทคนิคการดักตะกอนดิน การสร้างหนองเก็บน้ำฝนและหนองกระจาย และการทำ Creek ซึ่งเป็นทางน้ำผ่านใต้ทางรถแบบลูกระนาด ซึ่งดินตะกอนที่ดักได้สามารถนำไปใช้ทำดินปลูก ปุ๋ย หรือเพาะปลูกได้ สิ่งสำคัญที่ผู้เรียนค้นพบคือ การทำงานบนพื้นที่ที่ถูกปรับใหม่ต้องเผชิญกับปัญหาดินยังไม่เซ็ตตัว ทำให้ต้องมีเทคนิคการ "ตั้งครรภ์ดิน" ให้ใหญ่และสูงเผื่อการยุบตัวในอนาคต และการขุดคลองเพื่อดักตะกอนที่จะไหลลงมา
ด้านพลังงานทดแทน ผู้เข้าร่วมได้ฝึกปฏิบัติจริงในการติดตั้งระบบโซล่าเซลล์ปั๊มน้ำ ตั้งแต่การคำนวณขนาดแผง การติดตั้งปั๊ม ไปจนถึงการวางท่อ โดยใช้ AI ช่วยคำนวณปริมาตรน้ำ ความสูง ระยะทาง และแรงดันน้ำ (ทุก 10 เมตร เท่ากับ 1 บาร์) ได้เรียนรู้ว่าแผงโซล่าเซลล์ราคา 25,000 บาท สามารถใช้งานได้นาน 25 ปี คิดเป็นค่าใช้จ่ายเพียงวันละ 3 บาท และมีประสิทธิภาพดันน้ำได้ถึง 8 บาร์ เทียบกับไฟฟ้าที่ดันได้ 7.5 บาร์ เท่านั้น ซึ่งเหมาะสมกับพื้นที่ที่ไม่มีไฟฟ้าหรือไฟฟ้าไม่เสถียร นายจำลอง เรียนรู้ว่าปั๊มโซล่าเซลล์ตัวเล็กๆ สามารถปั๊มน้ำได้ถึง 1,000 เมตร แรงกว่าปั๊มน้ำมันที่เคยใช้ถึง 10 เท่า และคุ้มค่ากว่ามาก อย่างไรก็ตาม ผู้เรียนได้ค้นพบข้อจำกัดสำคัญคือ ปัญหาแสงน้อยในเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม ระยะทางการติดตั้งที่ไกล ความยากในการหาอุปกรณ์ท่อที่ต้องสั่งมาไกล และการขออนุญาตในเขตอุทยานหรือกรมป่าไม้ ซึ่งนำไปสู่ข้อเสนอแนะในการพัฒนาชุดเก็บไฟฟ้าสำรองไว้ใช้ช่วงฝนเพื่อช่วยประหยัดไฟ และการสร้างต้นแบบระบบโซล่าเซลล์ที่เหมาะสมกับบริบทท้องถิ่น
ด้านเศรษฐกิจครัวเรือน มีการวิเคราะห์รายรับ-รายจ่ายอย่างละเอียดจากตัวอย่างหลากหลายครัวเรือน เช่น บ้านปางแก ครอบครัว 11 คน มีรายจ่าย 242,610 บาทต่อปี หรือประมาณ 22,000 บาทต่อเดือน โดยค่าปุ๋ยเคมีเพียงอย่างเดียวสูงถึง 79,400 บาทต่อปี ครอบครัวนางเพ็ญศรี โชติอัศววงค์ ที่บ้านมณีพฤกษ์ มีรายได้จากกาแฟปีละ 70,000-80,000 บาท และรายได้เสริมจากงานรับจ้าง 50,000 บาทต่อปี แต่ต้องลงทุนค่าปุ๋ยอินทรีย์ 30,000 บาทและค่าแรงงาน 30,000 บาทต่อปี พร้อมแบกรับหนี้สิน 730,000 บาท นายมานะ กำเนิดมงคล มีรายได้จากกะหล่ำปีละ 30,000-40,000 บาท แต่ต้นทุนสูงมาก โดยเฉพาะค่าเมล็ดพันธุ์ ปุ๋ย และยาฆ่าหญ้า จนมีหนี้ ธกส. ประมาณ 200,000 บาท ส่วนนายชวกร ศุภสันต์สกุล มีรายได้เสริมจากร้านอาหารและร้านเช่าชุดกว่าหนึ่งแสนบาทต่อปี จากการวิเคราะห์เหล่านี้ ผู้เข้าร่วมเห็นแนวทางในการลดรายจ่ายและเพิ่มรายได้ โดยการผลิตอาหาร ปุ๋ย และพลังงานเองในพื้นที่ ลดการพึ่งพาภายนอก และสามารถคำนวณ "ตุ่มรูรั่ว" ของแต่ละครัวเรือนได้ชัดเจน ผู้เรียนยังได้เข้าใจปัญหาเชิงโครงสร้างของเกษตรพื้นที่สูงอย่างลึกซึ้ง เช่น ดินที่เสื่อมสภาพจากการใช้สารเคมีมานาน แข็ง ขาดธาตุอาหาร จนต้องเว้นแปลงไว้พักเป็นปีๆ ปัญหาแรงดันน้ำไม่พอจากระบบประปาภูเขาที่ท่อยาวไกล ค่าแรงงานที่สูงจนทำนาไม่คุ้มทุน และความไม่แน่นอนของราคาตลาดที่ทำให้เสี่ยงสูง
2. แกนนำที่เกิดขึ้น
โครงการได้ "ปักหมุด" แกนนำคนทำจริงทั้งสิ้น 40 กว่าราย กระจายใน 10 หมู่บ้านทั่วจังหวัดน่าน โดยแต่ละรายมีเป้าหมายลดรายจ่ายและเพิ่มรายได้ที่ชัดเจน และที่สำคัญคือมีพื้นฐานและประสบการณ์ที่หลากหลาย ทำให้เกิดการเรียนรู้แบบแลกเปลี่ยนที่ลึกซึ้ง บ้านมณีพฤกษ์มี 5 ราย นำโดยนายทวีชัย กำเนิดมงคล นายพิเชฐ กล้าพิทักษ์ เทพพิชิต อนุวงค์ประพันธ์ (พ่อนาย) ที่จบการศึกษาด้านพืชศาสตร์และมีประสบการณ์ทำงานเป็นบรีดเดอร์ในบริษัทเมล็ดพันธุ์เกือบ 10 ปี ซึ่งเขากำลังสร้าง "คลังพันธุกรรม" รวบรวมพันธุ์ข้าวพื้นเมืองของม้งและพืชพื้นเมืองอื่นๆ ไว้ให้คนรุ่นหลัง พร้อมวางแผนปรับพื้นที่ 12 ไร่เป็นนาขั้นบันไดและอีก 9 ไร่ปลูกชา นางเพ็ญศรี โชติอัศววงค์ และคุณพงษ์ศักดิ์ สามี ที่มีต้นกาแฟกว่า 5,000 ต้นที่ดูแลด้วยปุ๋ยอินทรีย์ 100% และกำลังกลายเป็นที่ปรึกษาเล็กๆ ให้กับชาวบ้านที่มาขอคำแนะนำเรื่องการทำเกษตร และนายมานะ กำเนิดมงคล ที่ดูแลครอบครัว 11 คน บนพื้นที่ 40-50 ไร่ แม้จะเผชิญปัญหาดินเสื่อมและแรงดันน้ำไม่พอ แต่ก็ยังมีความตั้งใจและความหวังที่จะพัฒนาพื้นที่ด้วยระบบโซล่าเซลล์
บ้านขุนสถานมี 4 ราย โดยมีนายเอนก แสนซุ้ง เป็นต้นแบบหลักที่มีเป้าหมายลดรายจ่าย 2,000 บาทและเพิ่มรายได้ 3,000 บาทต่อเดือน เขาเคยเรียนวิชากสิกรรมธรรมชาติที่ศูนย์กสิกรรมธรรมชาติชุมชนต้นน้ำน่านเมื่อ 4 ปีก่อน และได้ปรับพื้นที่ 7 ไร่จากภูเขาหัวโล้นเป็นนาขั้นบันได เพื่อพิสูจน์ว่า "คนม้งไม่ใช่คนทำลายป่าต้นน้ำ แต่เป็นคนรักษาต่างหาก" นายบุญช่วย วรวุฒิไพศาล อายุ 56 ปี ที่มีพื้นที่ 80 ไร่ หันมาทำโคกหนองนาบนพื้นที่ 5 ไร่ และสวนผสม 4 ไร่ ทำให้ครอบครัวสุขภาพดีขึ้นและมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับเพื่อนบ้านผ่านกิจกรรมตลาดบุญ-ทาน นายชวกร ศุภสันต์สกุล อายุ 52 ปี ที่มีพื้นที่ 30 ไร่ และเป็นกรรมการสหกรณ์หมู่บ้าน มีรายได้เสริมจากร้านอาหารและร้านเช่าชุด แม้ยังไม่ได้ปรับมาทำเกษตรกักตะกอนเต็มรูปแบบ แต่ก็อยู่ในกระบวนการเรียนรู้และพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลง และนายฮู้ อายุ 62 ปี ที่มีพื้นที่ 18 ไร่ ซึ่งดินแข็งและได้ใช้สารเคมีมานาน ตัดสินใจเริ่มต้นใหม่ด้วยการเข้าร่วมโครงการฟื้นป่าน่าน
บ้านปางแกมีนายดุสิต กรธนะพาณิช อายุ 47 ปี อดีตผู้ดูแลระบบไฮโดรโปนิกส์ที่หันมาทำเกษตรอินทรีย์ 100% บนพื้นที่ 40 ไร่ ได้รับการรับรอง Organic Thailand และกำลังนำ 15 ไร่เข้าสู่โครงการฟื้นป่าน่าน เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารและฟื้นฟูพื้นที่เป็น "ป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง" นอกจากนี้ยังมีแกนนำจากนาหมื่น 7 ราย เวียงสา 3 ราย บ้านน้ำหก 6 ราย บ้านห้วยเลา 11 ราย บ้านหนองบัว 8 ราย และอำเภอเฉลิมพระเกียรติมี 21 ราย แกนนำเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงผู้เรียนรู้ แต่หลายคนกำลังกลายเป็นที่ปรึกษาชุมชนและพร้อมที่จะเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้และเป็นต้นแบบให้ชุมชนอื่นต่อไป
3. โมเดลพื้นที่เรียนรู้
แปลงนายเอนก แสนซุ้ง ที่บ้านขุนสถานเป็นต้นแบบหลักที่แสดงผลสำเร็จที่มองเห็นได้ชัดเจน ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งปี มีกล้วยงามแตกกอ ฟักทองและแตงกวาลูกใหญ่ถึง 6-7 กิโลกรัม มะนอยออมแอม และข้าวงาม โดยไม่ใช้ปุ๋ยเคมีเลย ระบบน้ำสามารถดักตะกอนดินได้ 20 เซนติเมตรในนา และ 2 เมตรในบ่อบน แม้จะเผชิญปัญหาดินสไลด์ทับปั๊มถึง 4 เมตร และแรงกดดันจากที่ทำงาน แต่ก็สามารถแก้ไขและฟื้นตัวได้สำเร็จ นายเอนก แสนซุ้ง มีแผนจะแปรรูปฟักทองเป็นเส้นก๋วยเตี๋ยว ข้าวเกรียบ และข้าวแคบ เพื่อเพิ่มมูลค่า สิ่งที่โดดเด่นของแปลงนี้คือการเป็นหลักฐานที่มีชีวิตว่า "คนม้งไม่ใช่คนทำลายป่าต้นน้ำ แต่เป็นคนรักษา" เพราะนาขั้นบันไดที่สร้างขึ้นไม่เพียงแค่ผลิตอาหาร แต่ยังเก็บรักษาตะกอนดินและน้ำไว้บนภูเขา ไม่ให้ไหลลงไปท่วมคนปลายน้ำ
แปลงนายพงษ์ศักดิ์และนางเพ็ญศรี โชติอัศววงค์ ที่บ้านมณีพฤกษ์ ขนาด 4 ไร่จากทั้งหมด 20 ไร่ เน้นการท่องเที่ยวเชิงเกษตรและเกษตรผสมผสาน โดยออกแบบคำนึงถึงวิวและจุดกางเต็นท์ มีปัญหาหนองพังและน้ำทะลักทำลายพื้น ในกิจกรรมครั้งนี้ได้แก้ไขโดยขุดคลองไส้ไก่เบี่ยงน้ำจากถนน ปลูกแฝกยึดดิน ทำฝายชะลอน้ำ และทำ Creek เพื่อให้รถวิ่งได้โดยน้ำยังไหลผ่านได้ ผู้เข้าร่วมได้ลงมือทำจริงจนเห็นน้ำไหลเข้าหนองตามที่ออกแบบไว้ แต่ในกระบวนการทำงานพบว่า การขุดบนพื้นที่ที่มีหินเยอะทำให้ขุดยาก ดินเป็นหลุมเป็นบ่อน้ำขังเป็นขี้โคลน ดินติดอุปกรณ์ทำให้อุปกรณ์หนักและคนขุดเหนื่อย ซึ่งทำให้เกิดการเรียนรู้ในการจัดการทีมงาน เช่น การหมั่นทำความสะอาดอุปกรณ์เพื่อลดพลังงานคนขุด การแบ่งคนแบ่งงานแบ่งพื้นที่ให้ชัดเจนตามความถนัด และการมี "ทีมพลาธิการ" ดูแลเรื่องน้ำ ขนม อาหารให้เพื่อนๆ ที่ทำงานเหนื่อย จุดเด่นของแปลงนี้คือการทำเกษตรด้วยปุ๋ยอินทรีย์ 100% บนพื้นที่กาแฟกว่า 5,000 ต้น พร้อมผลไม้และไม้ยืนต้นที่หลากหลาย เช่น กล้วย มะนาว อะโวคาโด และต้นนางพญาเสือโคร่งกว่า 500 ต้น โดยใช้โมเดลโคกหนองนาเป็นหัวใจในการจัดการน้ำ แม้จะยังเผชิญปัญหาน้ำไม่พอในหน้าแล้งและเส้นทางถูกดินสไลด์ปิดในฤดูฝน แต่ครอบครัวก็ปรับตัวและเดินหน้าต่อ และที่สำคัญคือเจ้าของแปลงกำลังกลายเป็นที่ปรึกษาให้กับชาวบ้านที่มาขอคำแนะนำเรื่องการทำเกษตร
แปลงนายทวีชัย กำเนิดมงคล ขนาด 2 ไร่จาก 14 ไร่ มีการติดตั้งระบบโซล่าเซลล์ดูดน้ำจากที่ต่ำขึ้นดอย สำเร็จภายในเวลาเพียง 2 วัน โดยมีหนองเก็บน้ำความจุ 500 คิว รองรับน้ำจากสันปันน้ำ 20 ไร่ ซึ่งสามารถเก็บน้ำได้ถึง 40,000 คิว ผู้เข้าร่วมได้ฝึกการต่อท่อทั้งคืนจนน้ำขึ้นถึงแปลงจริง ทำให้เห็นว่าเทคโนโลยีโซล่าเซลล์สามารถแก้ปัญหาพื้นที่สูงที่ไม่มีไฟฟ้าได้จริง
แปลงนายดุสิต กรธนะพาณิช ที่บ้านปางแก ขนาด 40 ไร่ เป็นตัวอย่างของการเปลี่ยนผ่านจากเกษตรเคมีสู่เกษตรอินทรีย์อย่างเต็มรูปแบบ จากอดีตที่เคยปลูกกะหล่ำ ข้าวโพด ถั่วลันเตาด้วยสารเคมี และพบว่าไม่ยั่งยืน ก่อนจะหันมาเข้าร่วมโครงการหลวงในปี 2558 ปลูกผักในโรงเรือน และปัจจุบันได้รับการรับรอง Organic Thailand แปลงนี้แสดงให้เห็นว่าการฟื้นฟูดินและระบบนิเวศสามารถทำได้จริง แม้จะใช้เวลาและต้องปรับเปลี่ยนทั้งระบบการผลิต และกำลังนำ 15 ไร่เข้าสู่โครงการฟื้นป่าน่านเพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารและพัฒนาเป็น "ป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง"
4. แผนงานเชื่อมโยงภายนอก
มีการวางแผนเชื่อมโยงตลาดและการกระจายสินค้าอย่างเป็นระบบ เริ่มจากวันที่ 11 กันยายน 2568 จะนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อสื่อสารกับสาธารณะและสร้างช่องทางตลาด ต่อมาจะเปิดตลาดที่โรงพยาบาลน่านสำหรับสินค้าอินทรีย์ โดยมีลูกสาวของนายเอนก แสนซุ้ง ที่ทำงานที่นั่นเป็นตัวเชื่อม และใช้ร้านรองกวางเป็นช่องทางจำหน่ายมะนอยออมแอม
ผลิตภัณฑ์หลักที่พร้อมจำหน่ายคือกาแฟมณีพฤกษ์ซึ่งมีคุณภาพระดับโลก มักติดอันดับ 1-3 ในการแข่งขัน แต่ปัญหาคือปริมาณน้อยทำให้ไม่เป็นที่รู้จัก มีแผนพัฒนาการคั่วให้เหมาะสม เพราะกาแฟจากป่าต้องใช้เวลาคั่วนานกว่า น้ำดื่มจากบ้านน้ำหก ผักผลไม้อย่างฟักทอง แตงกวา มะนอยออมแอม และแผนแปรรูปผลิตภัณฑ์จากฟักทอง นอกจากนี้ยังมีโมเดล "กาแฟฟื้นป่าแลกโซล่าปั๊ม" เป็นระบบแลกเปลี่ยนไม่ใช้เงิน เชื่อมระหว่างผู้ผลิตกาแฟกับเทคโนโลยี มีเป้าหมาย 6 แปลงนำร่อง และวางแผนพัฒนารถเย็น ห้องเย็น และแพลตฟอร์มขายของตัวเองในอนาคต
5. เครื่องมือและนวัตกรรม
มีการพัฒนาฐานข้อมูล "AI for Highland Water Solution" เพื่อเก็บข้อมูลปริมาณน้ำ ดินตะกอน ผลผลิต และพฤติกรรมชาวบ้านอย่างเป็นระบบ มีวัตถุประสงค์เพื่อพิสูจน์ความสำเร็จและเป็นแหล่งข้อมูลให้คนอื่นนำไปใช้ได้ โดยมีทีม AI นำโดยพี่ปิ้วรับผิดชอบ สำหรับเครื่องมือการเรียนรู้เยาวชน มีการพัฒนาหลักสูตรที่โรงเรียนประกิต เช่น การสานตะแหล๋ว ทำพิซซ่าม้ง และทำน้ำมันจากขยะพลาสติก รวมถึงการใช้โลกการ์ตูน (อนิจิน) ให้เด็กๆ ฝึกซ้อมผังน้ำในโลกจินตนาการก่อนลงมือทำจริง ทำให้การเรียนรู้น่าสนใจและเข้าใจง่ายขึ้น
ผลลัพธ์ (Outcome)
1. การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและความเชื่อมั่น
ในระดับปัจเจกบุคคล เกิดความมั่นใจอย่างชัดเจนจากคำพูดของชาวบ้านที่ว่า "รอดแน่นอน เป็นปีก็รอด" เมื่อถูกถามว่าถ้าถนนตัดขาดจะอยู่รอดได้กี่เดือน ความเข้าใจเปลี่ยนจาก "ไม่เชื่อว่าปิดถนน 1 เดือนจะรอด" เป็น "มีอาหาร น้ำสะอาด พอเพียง อยู่ได้จริง" นายเอนก แสนซุ้ง แม้จะเผชิญความเหนื่อยยากจนร้องไห้ในสวนคนเดียว ถูกกดดันจากที่ทำงาน แต่ก็กลับมาสู้ต่อด้วยกำลังใจจากเพื่อนและคุณครู และมีความมุ่งมั่นที่จะทำให้สำเร็จเพื่อลูกและครอบครัว พร้อมความฝันที่จะขยายวิถีเกษตรกักตะกอนดินและน้ำไปถึงชาวม้งทั่วโลก เพื่อพิสูจน์ว่าม้งคือผู้รักษาป่าและผู้ดูแลน้ำ
ในระดับครัวเรือน นายบุญช่วย วรวุฒิไพศาล ปลูกข้าวครั้งแรกโดยไม่ใช้เคมีเลยและได้ข้าวที่สวยมาก ทำให้ครอบครัวสุขภาพดีขึ้นและมีความมั่นคงในการกินอยู่ นายวรเทพ อนุวงศ์ประพันธ์ มั่นใจว่าโซล่าเซลล์ขึ้นดอยได้จริงหลังจากเห็นน้ำไหลด้วยตาตัวเอง นายจำลอง เรียนรู้ว่าปั๊มโซล่าเซลล์ตัวเล็กๆ สามารถปั๊มน้ำได้ถึง 1,000 เมตร แรงกว่าปั๊มน้ำมันที่เคยใช้ถึง 10 เท่า และคุ้มค่ากว่ามาก เทพพิชิต อนุวงค์ประพันธ์ (พ่อนาย) ผู้มีประสบการณ์ด้านพันธุกรรมพืชเกือบ 10 ปี กำลังสร้าง "คลังพันธุกรรม" รวบรวมพันธุ์ข้าวพื้นเมืองของม้งและพืชพื้นเมืองอื่นๆ ไว้ให้คนรุ่นหลัง และมีแผนจะปรับพื้นที่ 12 ไร่เป็นนาขั้นบันไดและอีก 9 ไร่ปลูกชา โดยได้แรงบันดาลใจจากเพื่อนที่บ้านปางแกซึ่งทำนาขั้นบันได 5 ไร่ ได้ข้าวกินพอทั้งปี นายดุสิต กรธนะพาณิช เปลี่ยนจากการใช้สารเคมีมาเป็นเกษตรอินทรีย์ 100% บนพื้นที่ 40 ไร่ และได้รับการรับรอง Organic Thailand แสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนผ่านทำได้จริงแม้จะใช้เวลา นายฮู้ อายุ 62 ปี ตัดสินใจเริ่มต้นใหม่บนพื้นที่ 18 ไร่ที่ดินแข็งและเคยใช้สารเคมีมานาน แสดงให้เห็นว่าไม่มีอายุไหนสายเกินไปสำหรับการเปลี่ยนแปลง
ในระดับชุมชน เกิดการช่วยเหลือกันขุดคลองร่วมกัน ต่อท่อทั้งคืนจนสำเร็จ สร้างมิตรภาพและการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างชาติพันธุ์ต่างๆ ทั้งลัวะ ม้ง และคนเมือง ที่ทำงานร่วมกันได้อย่างลงตัว มีการจัดประชุมหมู่บ้านทุกเดือน กิจกรรมตลาดบุญ-ทาน และมีเยาวชนเข้ามาช่วยงานฟื้นฟูป่า ดิน และน้ำร่วมกัน ความสัมพันธ์ในชุมชนแน่นแฟ้นขึ้น และที่สำคัญคือหลายคนเริ่มกลายเป็น "ที่ปรึกษาชุมชน" เช่น นางเพ็ญศรี โชติอัศววงค์ ที่ชาวบ้านมาขอคำแนะนำเรื่องการทำเกษตร นายชวกร ศุภสันต์สกุล ที่เป็นกรรมการสหกรณ์หมู่บ้านและอยู่ในกิจกรรมตลาดบุญ-ทานอย่างสม่ำเสมอ แม้ยังไม่ได้ปรับมาทำเกษตรกักตะกอนเต็มรูปแบบ แต่ก็ยืนอยู่กับชุมชน ร่วมแรงร่วมใจ และพร้อมจะเปลี่ยนแปลงเมื่อถึงเวลาเหมาะสม
2. ความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับหลักการจัดการน้ำและข้อจำกัดของพื้นที่
ผู้เข้าร่วมเข้าใจลึกซึ้งว่า "น้ำต้องไหลช้าที่สุด" ไม่ใช่การกักน้ำไว้ แต่เป็นการชะลอการไหล นายสาธิต นุชเกษม สะท้อนว่า "ใช้เวลากับการสำรวจมากขึ้น ละเอียดมากขึ้น" เพราะถ้าเราไม่เดินดูพื้นที่ให้ทั่ว จะมองไม่เห็นการไหลของน้ำจริงๆ โดยเฉพาะบนพื้นที่ที่มีความลาดเอียงสูงซึ่งทำให้การเล็งระดับยากมาก นายกัมปนาท ทองชาย เรียนรู้ว่า "มองด้วยตามันไม่ใช่" การเล็งระดับน้ำเป็นทักษะที่ต้องฝึกฝนและต้องใช้อุปกรณ์อย่าง A-Frame ช่วย AI ช่วยคำนวณได้แต่ช่วยในส่วนนี้ไม่ได้ นายพิเชฐ กล้าพิทักษ์ เตือนว่า "ครั้งแรกถ้าทำผิด เวลาแก้มันยาก" เพราะต้องมีคนที่มีประสบการณ์ดูแลการขุด ดินต้องแน่น ระดับต้องเท่ากัน ไม่เช่นนั้นจะพังและแก้ไขยากมาก
สิ่งที่ผู้เรียนค้นพบเพิ่มเติมคือ ข้อจำกัดของพื้นที่ที่ถูกปรับใหม่ ดินยังไม่เซ็ตตัว ทำให้ขุดแล้วไม่อยู่ตัว เดินยาก และไม่รู้ว่าจะยุบมากน้อยแค่ไหน ซึ่งต้องรอให้ดินเซ็ตตัวหรือคิดเผื่ออนาคตและขุดเผื่อไว้เลย เช่น การ "ตั้งครรภ์ดิน" ให้ใหญ่และสูง หรือขุดคลองเพื่อดักตะกอนที่จะไหลลงมา นอกจากนี้ยังมีปัญหาดินเป็นหลุมเป็นบ่อน้ำขัง พื้นที่มีหินเยอะทำให้ขุดยาก และดินติดอุปกรณ์ทำให้อุปกรณ์หนักและคนขุดเหนื่อย ซึ่งต้องหมั่นทำความสะอาดอุปกรณ์เพื่อลดพลังงานคนขุด
ผู้เรียนยังเข้าใจปัญหาเชิงโครงสร้างของพื้นที่สูงอย่างลึกซึ้ง เช่น ดินที่เสื่อมสภาพจากการใช้สารเคมีมานาน แข็ง ขาดธาตุอาหาร จนต้องเว้นแปลงไว้พักเป็นปีๆ อย่างที่นายมานะ กำเนิดมงคลและนายฮู้เผชิญอยู่ ปัญหาแรงดันน้ำไม่พอจากระบบประปาภูเขาที่ท่อยาวไกล ทำให้น้ำไหลไม่ถึงอย่างที่ควร ค่าแรงงานที่สูงจนทำนาไม่คุ้มทุน อย่างที่เทพพิชิต อนุวงค์ประพันธ์สะท้อนว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา การทำนาข้าวไม่คุ้มทุนอีกต่อไป เมื่อก่อนปลูก 5-10 ไร่ ได้ถึง 100 กระสอบ แต่ปัจจุบันลงทุนกว่า 40,000-50,000 บาท กลับได้เพียง 20-30 กระสอบ เพราะต้องจ้างแรงงานแทนการช่วยกันในครอบครัว สุดท้ายเขาตัดสินใจเลิกทำนาและหันไปซื้อข้าวกินแทน และความไม่แน่นอนของราคาตลาดที่ทำให้เสี่ยงสูง อย่างที่นายมานะกังวลว่า "ราคาผลผลิตไม่แน่นอน ยิ่งทำเยอะยิ่งเสี่ยง" หลักการเหล่านี้ไม่ได้มาจากหนังสือ แต่มาจากการลงมือทำจริงและเรียนรู้จากข้อผิดพลาด
3. การพัฒนาระบบการทำงานร่วมกันและการจัดการทีม
จากประสบการณ์การลงแปลงจริง ผู้เรียนค้นพบความสำคัญของการจัดการทีมงานที่ดี ปัญหาที่พบคือ ขาดคนดูแลประจำจุด ไม่ได้ทำตามแผนที่วางไว้ ปรับเปลี่ยนไปตามความเห็นของคนที่มาเห็นและให้ความเห็น บางคนไม่กินข้าวก่อนทำงาน ตารางลงแปลงไม่เหมาะ หิวแล้วทำงานไม่ไหว และบางคนไม่ล้างอุปกรณ์หลังลงแปลง ซึ่งนำไปสู่ข้อเสนอแนะในการพัฒนาระบบการทำงาน ได้แก่ การแบ่งคนแบ่งงานแบ่งพื้นที่ให้ชัดเจนตั้งแต่แรกตามความถนัดของแต่ละคน เมื่อมีคนเสร็จงานแล้วตนเองค่อยไปช่วยเพื่อน การมี "ทีมพลาธิการ" ดูแลเรื่องน้ำ ขนม อาหารให้เพื่อนๆ ที่ทำงานเหนื่อย การสร้างกำลังกาย กำลังใจ และกำลังปัญญาก่อนลงแปลงทุกครั้ง และการที่ทุกคนดูแลรักษาความสะอาดอุปกรณ์ของตนเอง ระบบการทำงานเหล่านี้ช่วยให้การลงแปลงมีประสิทธิภาพและสร้างความสามัคคีในทีม
4. การสร้างเครือข่ายข้ามภาคส่วน
เกิดการยื่นมือจับกันระหว่างสามภาคส่วนหลัก ได้แก่ ภาครัฐที่มีองค์การบริหารส่วนตำบลพระพุทธบาท (พมพ.) อุทยานแห่งชาติศรีน่าน และโรงพยาบาลน่านเข้ามาสนับสนุน ภาคเอกชนที่มี Gem Forest โดยพี่สา กรรมการตัดสินกาแฟ และร้านกาแฟต่างๆ ที่ใช้กาแฟเป็นเครื่องมือระดมทุนช่วยเหลือผู้ประสบภัยดินถล่ม ภาคประชาชนที่มีแกนนำ 40 กว่ารายจาก 10 หมู่บ้าน และภาควิชาการที่มีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เป็นพันธมิตร นอกจากนี้ยังมีเครือข่ายระหว่างประเทศกับ V-CIL (เยาวชนเวียดนาม) ที่จะมาเรียนรู้ในเดือนธันวาคม 2568 และอารยธามที่จะมาในเดือนกุมภาพันธ์ 2569 การสร้างเครือข่ายนี้ไม่ใช่เพียงแค่การทำงานร่วมกัน แต่เป็นการสร้างกลไกที่จะขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในระดับนโยบายได้ โดยเฉพาะการประสานงานเรื่องการขออนุญาตในเขตอุทยานหรือกรมป่าไม้ซึ่งเป็นข้อจำกัดสำคัญที่ผู้เรียนค้นพบ รวมถึงการแก้ไขปัญหาการไม่มีเอกสารสิทธิ์ที่ดินซึ่งเป็นข้อจำกัดของเกษตรกรภูเขาหลายราย
5. การรับรู้บทบาทและเป้าหมายที่ชัดเจน
ผู้เข้าร่วมเข้าใจชัดเจนว่าการพัฒนามีสามระดับ คือ ระดับครัวเรือนที่เน้นความมั่นคงของครอบครัว เช่น บ้านขุนสถานที่มี 6 แปลง ระดับชุมชนที่สามารถพึ่งพาตัวเองได้ทั้งหมู่บ้าน เช่น บ้านมณีพฤกษ์และบ้านห้วยเลา และระดับเชื่อมภายนอกที่มีระบบการขาย แพลตฟอร์ม รถเย็น ห้องเย็น เพื่อกระจายสินค้าออกไป มีสโลแกนที่จดจำได้ชัดเจน เช่น "เริ่มน่ะ รอดแน่นอน" ของนายเอนก แสนซุ้ง คำถามท้าทาย "ถ้าถนนตัดขาด รอดมั้ย? รอดกี่เดือน?" และคำแนะนำของอ.ณัฐพงษ์ มณีกร ว่า "เราทำต้องทำให้ครัวเรือนเรารอดก่อน ไม่ต้องคิดใหญ่โตจนเกินไป แต่ให้เริ่มจากที่เล็กที่สุดก่อน"
ที่สำคัญคือผู้เรียนหลายคนมีเป้าหมายระยะยาวที่ชัดเจนและมีความหมาย เช่น นายเอนก แสนซุ้ง ที่ต้องการพิสูจน์ให้เห็นว่า "คนม้งไม่ใช่คนทำลายป่าต้นน้ำ แต่เป็นคนรักษาต่างหาก" และมีความฝันที่จะขยายวิถีเกษตรกักตะกอนดินและน้ำไปถึงชาวม้งทั่วโลก เทพพิชิต อนุวงค์ประพันธ์ ที่กำลังสร้าง "คลังพันธุกรรม" เพื่อเก็บรักษาพันธุ์ข้าวพื้นเมืองและพืชพื้นเมืองไว้ให้คนรุ่นหลัง นายดุสิต กรธนะพาณิช ที่มุ่งมั่นพัฒนาพื้นที่เป็น "ป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง" เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารและฟื้นฟูระบบนิเวศ นายมานะ กำเนิดมงคล ที่แม้จะเผชิญหนี้สินและความยากลำบาก แต่ยังมีความตั้งใจและความหวังที่จะพัฒนาพื้นที่ด้วยระบบโซล่าเซลล์ และนายฮู้ที่อายุ 62 ปีแล้วยังตัดสินใจเริ่มต้นใหม่ แสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงไม่มีวันสายเกินไป การเรียนรู้จากการทำจริงทำให้ผู้เรียนเข้าใจว่าการเริ่มต้นต้องมีการเรียนรู้จากการทดลองทำจริง การสร้างต้นแบบ และการแก้ไขปัญหาเมื่อเจอข้อจำกัดของพื้นที่ ซึ่งทำให้เป้าหมายมีความเป็นจริงและสามารถบรรลุผลได้
56
0
7. Workshop ฝึกเขียน Reflection Log และพูดต่อกลุ่ม, เปิดห้อง Open สื่อสารผลการเรียนรู้และออกแบบเชิงนโยบาย ร่วมกับเครือข่ายจุฬาฝ่าพิบัติในงาน NAN FORUM
วันที่ 9 กันยายน 2568 เวลา 08:00 น.กิจกรรมที่ทำ
เดี๋ยวมากรอก
ผลผลิต/ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น
เดี๋ยวมากรอก
56
0
8. Reflection & Post-test เพื่อประเมิน batch
วันที่ 18 กันยายน 2568 เวลา 13:00 น.กิจกรรมที่ทำ
เดี๋ยวมากรอก
ผลผลิต/ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น
เดี๋ยวมากรอก
0
0
9. การติดตามและประเมินผลหลังหลักสูตร (Follow-up and Impact Evaluation)
วันที่ 3 ตุลาคม 2568 เวลา 09:00 น.กิจกรรมที่ทำ
เดี๋ยวมากรอก
ผลผลิต/ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น
เดี๋ยวมากรอก
56
0
* ผลผลิต หมายถึง ผลที่เกิดขึ้นเชิงปริมาณจากการทำกิจกรรม เช่น จำนวนผู้เข้าร่วมประชุม จำนวนผู้ผ่านการอบรม จำนวนครัวเรือนที่ปลูกผักสวนครัว เป็นต้น
** ผลลัพธ์ หมายถึง การเปลี่ยนแปลงที่นำไปสู่การแก้ปัญหา เช่น หลังอบรมมีผู้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจำนวนกี่คน มีข้อบังคับหรือมาตรการของชุมชนที่นำไปสู่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหรือสภาพแวดล้อม เป็นต้น ทั้งนี้ต้องมีข้อมูลอ้างอิงประกอบการรายงาน เช่น ข้อมูลรายชื่อแกนนำ , แบบสรุปการประเมินความรู้ , รูปภาพกิจกรรมพร้อมคำอธิบายใต้ภาพ เป็นต้น
ส่วนที่ 2 ประเมินความพึงพอใจต่อความสำเร็จและปัญหาอุปสรรคในการดำเนินโครงการในภาพรวม
ผลการดำเนินโครงการ
สรุปผลการดำเนินโครงการ
ผลการดำเนินโครงการ/กิจกรรม:
บรรลุตามวัตถุประสงค์ของโครงการ
บรรลุตามวัตถุประสงค์บางส่วนของโครงการ
ไม่บรรลุตามวัตถุประสงค์ของโครงการ
ผลผลิตโครงการ
วัตถุประสงค์ สถานการณ์ เป้าหมาย ผลผลิต อธิบาย
ผู้เข้าร่วมโครงการ
กลุ่มเป้าหมาย จำนวนที่วางไว้(คน) จำนวนที่เข้าร่วม(คน)
จำนวนกลุ่มเป้าหมายทั้งหมด
0
กลุ่มเป้าหมาย จำนวนที่วางไว้(คน) จำนวนที่เข้าร่วม(คน)
บทคัดย่อ*
โครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ
ผลการดำเนินงานที่สำคัญ ได้แก่ (1) ภาพรวมของรายวิชา/พื้นฐานการวิเคราะห์ลุ่มน้ำ - ศึกษาภูมิสังคมและระบบน้ำในพื้นที่สูง (2) วิเคราะห์ระบบน้ำเชิงพื้นที่ เรียนรู้ เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการจัดการน้ำ ออกแบบและติดตั้งระบบน้ำในพื้นที่สูง สื่อสารผลการเรียนรู้และออกแบบ (3) Workshop ครั้งที่ 1 เตรียมการเรียนรู้จากแปลง/ข้อมูลลุ่มน้ำ/เทคโนโลยีเจาะในพื้นที่/ออกแบบพื้นที่เบื้องต้น (4) Workshop ครั้งที่ 2 เตรียมการเรียนรู้จากแปลง/ข้อมูลลุ่มน้ำ/เทคโนโลยีเจาะในพื้นที่/ออกแบบพื้นที่เบื้องต้น (5) Workshop ครั้งที่ 3 เตรียมการเรียนรู้จากแปลง/ข้อมูลลุ่มน้ำ/เทคโนโลยีเจาะในพื้นที่/ออกแบบพื้นที่เบื้องต้น (6) วิเคราะห์ข้อจำกัดพื้นที่และวางแผนออกแบบ ติดตั้งระบบน้ำจริงร่วมกับชุมชน (7) Workshop ฝึกเขียน Reflection Log และพูดต่อกลุ่ม, เปิดห้อง Open สื่อสารผลการเรียนรู้และออกแบบเชิงนโยบาย ร่วมกับเครือข่ายจุฬาฝ่าพิบัติในงาน NAN FORUM (8) สรุป และนำเสนอ Poster สไลด์/วิดีโอ/Poster ข้อเสนอเชิงนโยบาย (9) Reflection & Post-test เพื่อประเมิน batch (10) กิจกรรม การติดตามและประเมินผลหลังหลักสูตร (Follow-up and Impact Evaluation) (11) การติดตามและประเมินผลหลังหลักสูตร (Follow-up and Impact Evaluation)
ข้อเสนอแนะ ได้แก่ (1) ...
หมายเหตุ *- บทคัดย่อ จะนำไปใส่ในส่วนบทคัดย่อของรายงานฉบับสมบูรณ์
- หากต้องการใช้ค่าเริ่มต้นของบทคัดย่อ ให้ลบข้อความในช่องบทคัดย่อ ทั้งหมด แล้วกดปุ่ม Refresh
ปัญหาอุปสรรคและข้อเสนอแนะ
ปัญหาและอุปสรรค สาเหตุ ข้อเสนอแนะ
การออกแบบการจัดการน้ำอัจฉริยะในพื้นที่เกษตรกรรมบนภูเขาด้วย AI และภูมิปัญญาท้องถิ่น Smart Water Management Design in Highland Agriculture using AI and Indigenous Knowledge (Non-Degree Certificate Program) จังหวัด
รหัสโครงการ FN68/0039
ได้ดำเนินกิจกรรมตามที่เสนอไว้เสร็จสมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว
................................
( )
ผู้รับผิดชอบโครงการ
......./............/.......
โครงการ
“ การออกแบบการจัดการน้ำอัจฉริยะในพื้นที่เกษตรกรรมบนภูเขาด้วย AI และภูมิปัญญาท้องถิ่น Smart Water Management Design in Highland Agriculture using AI and Indigenous Knowledge (Non-Degree Certificate Program) ”
หัวหน้าโครงการ
หลักสูตร Non-Degree
พฤศจิกายน 2568
ที่อยู่ จังหวัด
รหัสโครงการ FN68/0039 เลขที่ข้อตกลง
ระยะเวลาดำเนินงาน ตั้งแต่ 1 มิถุนายน 2568 ถึง 30 พฤศจิกายน 2568
กิตติกรรมประกาศ
"การออกแบบการจัดการน้ำอัจฉริยะในพื้นที่เกษตรกรรมบนภูเขาด้วย AI และภูมิปัญญาท้องถิ่น Smart Water Management Design in Highland Agriculture using AI and Indigenous Knowledge (Non-Degree Certificate Program) จังหวัด" สำเร็จได้ด้วยดี ด้วยความร่วมมือจาก สมาชิกในชุมชน
คณะทำงานโครงการฯ ขอขอบคุณ สถาบันอาศรมศิลป์ ที่ให้การสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินโครงการฯ รวมทั้ง ภาคีเครือข่ายที่สำคัญระดับพื้นที่ ที่ให้การสนับสนุน ช่วยเหลือ ชี้แนะ สุดท้ายขอขอบคุณผู้เกี่ยวข้องที่มิได้ระบุชื่อไว้ในที่นี้ ซึ่งมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนการดำเนินงานให้มีความยั่งยืนในพื้นที่ต่อไป
คณะทำงานโครงการ
การออกแบบการจัดการน้ำอัจฉริยะในพื้นที่เกษตรกรรมบนภูเขาด้วย AI และภูมิปัญญาท้องถิ่น Smart Water Management Design in Highland Agriculture using AI and Indigenous Knowledge (Non-Degree Certificate Program)
บทคัดย่อ
โครงการ " การออกแบบการจัดการน้ำอัจฉริยะในพื้นที่เกษตรกรรมบนภูเขาด้วย AI และภูมิปัญญาท้องถิ่น Smart Water Management Design in Highland Agriculture using AI and Indigenous Knowledge (Non-Degree Certificate Program) " ดำเนินการในพื้นที่ รหัสโครงการ FN68/0039 ระยะเวลาการดำเนินงาน 1 มิถุนายน 2568 - 30 พฤศจิกายน 2568 ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจำนวน 1,200,000.00 บาท จาก สถาบันอาศรมศิลป์ เพื่อใช้ในการดำเนินกิจกรรมโครงการ หลังจากสิ้นสุดระยะเวลาโครงการ ผลที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงานปรากฏดังนี้
โครงการนี้ยังไม่มีการเขียนหรือแก้ไขบทคัดย่อ
หมายเหตุ : รายละเอียดของบทสรุปคัดย่อการดำเนินงาน ให้ผู้รับผิดชอบโครงการเป็นผู้เขียนสรุปภาพรวมของโครงการใน "ผลลัพธ์โครงการ"
สารบัญ
| กิตติกรรมประกาศ | » |
| บทคัดย่อ | » |
| ความเป็นมา/หลักการเหตุผล | » |
| วัตถุประสงค์โครงการ | » |
| กิจกรรม/การดำเนินงาน | » |
| กลุ่มเป้าหมาย | » |
| ผลลัพธ์ที่ได้ | » |
| การประเมินผล | » |
| ปัญหาและอุปสรรค | » |
| ข้อเสนอแนะ | » |
| เอกสารประกอบอื่นๆ | » |
ความเป็นมา/หลักการเหตุผล
สถานการณ์
วัตถุประสงค์โครงการ
กิจกรรม/การดำเนินงาน
- ภาพรวมของรายวิชา/พื้นฐานการวิเคราะห์ลุ่มน้ำ - ศึกษาภูมิสังคมและระบบน้ำในพื้นที่สูง
- วิเคราะห์ระบบน้ำเชิงพื้นที่ เรียนรู้ เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการจัดการน้ำ ออกแบบและติดตั้งระบบน้ำในพื้นที่สูง สื่อสารผลการเรียนรู้และออกแบบ
- Workshop ครั้งที่ 1 เตรียมการเรียนรู้จากแปลง/ข้อมูลลุ่มน้ำ/เทคโนโลยีเจาะในพื้นที่/ออกแบบพื้นที่เบื้องต้น
- Workshop ครั้งที่ 2 เตรียมการเรียนรู้จากแปลง/ข้อมูลลุ่มน้ำ/เทคโนโลยีเจาะในพื้นที่/ออกแบบพื้นที่เบื้องต้น
- Workshop ครั้งที่ 3 เตรียมการเรียนรู้จากแปลง/ข้อมูลลุ่มน้ำ/เทคโนโลยีเจาะในพื้นที่/ออกแบบพื้นที่เบื้องต้น
- วิเคราะห์ข้อจำกัดพื้นที่และวางแผนออกแบบ ติดตั้งระบบน้ำจริงร่วมกับชุมชน
- Workshop ฝึกเขียน Reflection Log และพูดต่อกลุ่ม, เปิดห้อง Open สื่อสารผลการเรียนรู้และออกแบบเชิงนโยบาย ร่วมกับเครือข่ายจุฬาฝ่าพิบัติในงาน NAN FORUM
- สรุป และนำเสนอ Poster สไลด์/วิดีโอ/Poster ข้อเสนอเชิงนโยบาย
- Reflection & Post-test เพื่อประเมิน batch
- กิจกรรม การติดตามและประเมินผลหลังหลักสูตร (Follow-up and Impact Evaluation)
- การติดตามและประเมินผลหลังหลักสูตร (Follow-up and Impact Evaluation)
กลุ่มเป้าหมาย
| กลุ่มเป้าหมาย | จำนวนที่วางไว้ |
|---|
ผลที่คาดว่าจะได้รับ
ส่วนที่ 1 ผลการดำเนินงาน
| วัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ ผลลัพธ์และตัวชี้วัดผลลัพธ์** กิจกรรมของโครงการ | ผลผลิต* | |
|---|---|---|
| ผลผลิตที่ตั้งไว้ | ผลผลิตที่เกิดขึ้นจริง | |
1. ภาพรวมของรายวิชา/พื้นฐานการวิเคราะห์ลุ่มน้ำ - ศึกษาภูมิสังคมและระบบน้ำในพื้นที่สูง |
||
วันที่ 20 มิถุนายน 2568 เวลา 09:00 น.กิจกรรมที่ทำ
ผลผลิต/ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นผลผลิต (Output) ที่เกิดขึ้นจริง
ผลลัพธ์ (Outcome) ที่เกิดขึ้นจริง
สรุป: ผู้เรียนแสดงความตื่นเต้นและความพร้อมในการนำความรู้ไปใช้ โดยเฉพาะการยอมรับเทคโนโลยีใหม่และการเห็นคุณค่าของตนเองในฐานะส่วนหนึ่งของระบบที่ใหญ่กว่า มีความมั่นใจมากขึ้นจากการเห็นกรณีศึกษาจริงและการสาธิตเครื่องมือต่างๆ พร้อมที่จะทำภารกิจและลงพื้นที่จริงในครั้งถัดไป
|
56 | 0 |
2. วิเคราะห์ระบบน้ำเชิงพื้นที่ เรียนรู้ เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการจัดการน้ำ ออกแบบและติดตั้งระบบน้ำในพื้นที่สูง สื่อสารผลการเรียนรู้และออกแบบ |
||
วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 เวลา 08:00 น.กิจกรรมที่ทำวันที่ 1 ก.ค. 68 (วันที่ 1 ของกิจกรรม) 08:00-09:00 | พิธีเปิดและทบทวน • อ.กาญจนา ไขรัศมี กล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมจากหลายภูมิภาค • ทบทวนกิจกรรมปฐมนิเทศออนไลน์ (20 มิ.ย.) เรื่องการวิเคราะห์ออกแบบพื้นที่และจัดการน้ำบนพื้นที่สูง 09:00-10:00 | ที่มาของโครงการ • อ.เข็มเพชร บรรยายโครงการ "บัณฑิตพันธุ์ใหม่" ความร่วมมือกับ อว. • เรื่องราวอ.ยักษ์ (อ.วิวัฒน์ ศัลยกำธร) ผู้ก่อตั้งศูนย์และปรัชญาการทำงาน • รับชมวิดีโอ "ฅนหวงแผ่นดิน" และแชร์ความรู้สึก 10:00-11:00 | สร้างความคึกคัก • ฝึกใส่รหัสปรบมือ 3-3-7 • แจก "ยา 4 เม็ด": เปิดใจ, ให้โอกาส, ให้อภัย, ความรัก • แนะนำทีมงานและอาสาสมัคร 11:00-12:00 | ทำความรู้จักและแบ่งกลุ่ม • แนะนำตัวในวงกลม (ชื่อ-ที่มา-ความถนัด) • เกมส่งป้ายชื่อและสัมภาษณ์กัน • แบ่งเป็น 4 หมู่บ้าน: เขียว (ก๋งซ๊ะ-เอนก), แดง (แหนม), น้ำเงิน (บอย), เหลือง (ทานตะวัน-อ้วน) • เลือกกำนัน (โอ๋) และมอบหน้าที่ดูแลพื้นที่ 13:00-15:30 | เดินสำรวจพื้นที่ • แบ่งกลุ่มตามพื้นที่: ทีมน่าน, ทีมคนเมือง, ทีมอาสา • เดินเรียนรู้จุดต่างๆ เช่น บันได 9 ขั้น, เวทีน้ำตก, บ้านดินบังเกอร์, แพกลางน้ำ, ศูนย์ปฏิบัติธรรม, บ่อน้ำสร้าง, คันนาทองคำ, แทงค์น้ำยักษ์ 15:30-17:00 | สร้างแผนที่ชุมชน • ใช้โพสอิทเขียนอธิบายสิ่งที่เห็น • แต่ละกลุ่มนำเสนอการเรียนรู้จากการเดินสำรวจ • อ.เอื้อมพร แนะนำเทคนิคการทำแผนที่เดินดิน • ฝ่าย IT ฝึกทำแบบสอบถามออนไลน์ 19:00-21:00 | บรรยายพิเศษ • อ.อาบอำไพ รัตนภานุ บรรยาย "เศรษฐกิจพอเพียงเพื่อความสุขของคนทั้งโลก" • เชื่อมโยงพระราชดำรัสในหลวง ร.9 และ ร.10 • รับชมคลิปงานวันดินโลกและโรงเรียนปูทะเลย์มหาวิชชาลัย • แชร์ความรู้สึกและปิดวิชาด้วยแนวคิด "ทำประโยชน์ให้ผู้อื่นก่อน" วันที่ 2 ก.ค. 68 (วันที่ 2 ของกิจกรรม) 05:00-08:00 | พัฒนากาย-ใจ-ปัญญา และฐานพระแม่ธรณี • อ.สีหนาท บุตรพระพาย นำยืดเส้น, อ.นรากร พิมล สอนหายใจ 4-7-8 และหลักธาตุ 4 • อ.กรุง ศรีเมือง สอนองค์ประกอบดินดี (น้ำ-อากาศ 25%, อินทรีย์วัตถุ 5%, แร่ธาตุ 45%) มีจุลินทรีย์ 200 ล้านอาณาจักรต่อ 1 ตร.ซม. • วิธีฟื้นฟูดิน: หยุดใช้สารเคมี, ห่มดิน, ปลูกแฝก, ขุดคลองไส้ไก่ 08:00-12:00 | น้ำหมัก 7 รส และ 10 ขั้นตอนการทำงาน • สอนสูตรน้ำหมัก: รสจืด (กระตุ้นจุลินทรีย์), รสขม (สร้างภูมิ), รสฝาด-เมาเบื่อ-เผ็ด-หอมระเหย-เปรี้ยว (ไล่แมลง) • สูตรหมัก: สมุนไพรสด 3 กก., หัวเชื้อ 1 กก., น้ำตาล 1 กก., น้ำ 10 ลิตร (หมัก 3 เดือน) • รับชมวิดีโอ "นิยาม 5" และเรียนรู้ 10 ขั้นตอนการทำงาน (สำรวจ→เตรียมดิน→ปลูกป่า→แฝก→ดอกไม้→ห่มดิน→แห้งชาม-น้ำชาม→คาถาเลี้ยงดิน→ศิลปะ→จัดเก็บ) 13:00-17:30 | ฐานแปรรูปและเกมจำลองภัยพิบัติ • อ.ศิริลักษณ์ ศัลยกำธร สอนทำยาหม่องสมุนไพร, น้ำยาบ้วนปาก, ยาดองมะกรูด, น้ำยาอเนกประสงค์ • เกมจำลองภัยพิบัติ: แบ่งกลุ่มตามภูมิภาค ระบุจุดเสี่ยงภัย (น้ำท่วม, ดินสไลด์, แผ่นดินไหว) ฝึกป้องกันบ้านและช่วยเหลือชุมชนข้างเคียง (รัศมี 32 กม.) • สะท้อนบทเรียน: ความสามัคคี, การเตรียมพร้อม, ไม่ประมาท 19:00-21:00 | ชีวะมนฑล (Bio Sphere) • อ.อาบอำไพ รัตนภานุ นำวาดภาพร่วมกัน 3 รอบ: เติมสิ่งจำเป็น (บ่อน้ำ, นา, สมุนไพร, ไก่) → เชื่อมโยงระบบ (รากไม้, ไฟฟ้า, ฝาย) → ปัจจัยสนับสนุน (ป่า 3 อย่าง 4 ประโยชน์, คลองไส้ไก่, ฐานแปรรูป) • เน้นย้ำ: มีเวลา 330 วันเตรียมรับมือภัยพิบัติ 30 วัน, มอบหมายดูวิดีโอ "ศูนย์ฝึกโรงเรียนจิตอาสา 904" หมายเหตุ: วันนี้เน้นทักษะปฏิบัติ (ฐานต่างๆ) และการคิดเชิงระบบ (เกม + ชีวะมนฑล) เพื่อเตรียมพร้อมลงพื้นที่จริง วันที่ 3 ก.ค. 68 (วันที่ 3 ของกิจกรรม) 05:00-10:00 | ลงดำนาและระบบเครือข่ายรับมือภัยพิบัติ • อ.นรากร พิมล สอนออกแบบพื้นที่ให้เข้ากับภูมิสังคม-ภูมิปัญญา, อัตลักษณ์ศิษย์อ.ยักษ์ (ทิฐิสามัญตา, ศีล, พบปะสม่ำเสมอ) • ลงดำนา ท่องคาถาเลี้ยงดินหลายภาษา: "เลี้ยงดิน ให้ดินเลี้ยงพืช" • อ.เอื้อมพร ลอยประดิษฐ์ บรรยายโครงการลุ่มน้ำ 21 ล้านไร่ แบ่งกลุ่มงาน 4 กลุ่ม: Drone GIS+AI, ชุมชนต้นแบบ, ตลาดคุณค่า-แปรรูป, Yak AI • เป้าหมาย: หมู่บ้านอยู่รอดเองได้ 72 ชม., สร้าง War Room ที่จุฬา 10:00-12:00 | ทบทวนกสิกรรมธรรมชาติและทฤษฎีใหม่ • อ.อาบอำไพ รัตนภานุ สอนหลักพื้นฐาน: กสิกรรมธรรมชาติใช้สิ่งที่มีอยู่แล้ว (ดิน น้ำ ลม ไฟ), องค์ประกอบดินดี, การสังเคราะห์แสง • ทฤษฎีใหม่: 1 ครอบครัว 15 ไร่ ใช้นาข้าว 3 ไร่, สูตรพื้นที่ 30-30-30-10 (ปรับได้), ฝนเทียมประหยัดที่สุดในโลก • ป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง: พออยู่ พอกิน พอใช้ พอร่มเย็น 13:00-16:00 | ธรณีวิทยาและภัยพิบัติ • อ.สันติ ภัยหลบลี้ (จุฬาฯ) สอนภัยพิบัติทางธรณี 6 ประเภท: แผ่นดินไหว, สึนามิ, ภูเขาไฟ, น้ำท่วม, ดินถล่ม, หลุมยุบ • ใช้ Google Earth วิเคราะห์พื้นที่จริง (บ้านขุนสถาน, มณีพฤกษ์) • หลักการ: ที่ราบน้ำท่วมถึง (ดูจากนาข้าว), ดินถล่มที่ความชัน >15 องศา, ป้องกันด้วยต้นไม้รากลึก+นาขั้นบันได • ข้อคิด: "ภัยพิบัติไม่ได้มีไว้หนี แต่มีไว้ให้เราแข็งแรงกว่าเค้า" 19:00-21:00 | AI และการออกแบบพื้นที่ • ส่งการบ้านออกแบบพื้นที่ด้วย AI (กำนันโอ๋: โอ๊ะโอ๋ฟาร์ม 50 ไร่, ท็อป: ระบบนิเวศตรัง, ปิ้ว: ทุเรียน-ยางพารา 2 ไร่) • เคสสตัดี้: ใช้ AI ออกแบบโรงน้ำดื่มชุมชนบ้านน้ำหก (กำลังผลิต 1,000 ลิตร/วัน, รองรับ 500 ครัวเรือน, มีน้ำสำรอง 72 ชม.) • แชร์ความคิด: โลกเปลี่ยน แต่ดินไม่เปลี่ยน → ต้องยึดที่ดินไว้, AI ช่วยสร้างองค์ความรู้เป็น Yak AI หมายเหตุ: วันนี้เชื่อมโยงภัยพิบัติกับพื้นที่จริง และใช้เทคโนโลยี (AI, GIS, Drone) สร้างระบบเตือนภัยและฟื้นฟูชุมชนอย่างยั่งยืน วันที่ 4 ก.ค. 68 (วันที่ 4 ของกิจกรรม) 08:00-12:00 | วิชาออกแบบพื้นที่บนพื้นที่สูง • อ.อาบอำไพ รัตนภานุ สอนหลักการออกแบบพื้นที่ด้วย อุตุนิยา (ดิน น้ำ ลม ไฟ) • เรื่องดิน: หน้าดิน (ฮิวมัส) 20 ซม. ใช้เวลาสะสม 20 ปี แก้ปัญหาดินไหลด้วยนาขั้นบันได, คลองไส้ไก่ (ความชัน 1%), ฝายกักตะกอน • เรื่องน้ำ: เก็บน้ำฝน 100%, รับน้ำท่าจากพื้นที่ข้างบน, ขุดหนองดักน้ำ • เรื่องลม: ลมฝนพัดจากตะวันตกเฉียงใต้→ตะวันออกเฉียงเหนือ, วางเล้าสัตว์ห่างจากทิศที่ลมพัดมาบ้าน • เรื่องไฟ: ดูทิศทางแสงแดดไม่ให้ต้นไม้บังนา กิจกรรม: แบ่ง 4 กลุ่มออกแบบการกักตะกอนดินในกระบะทราย ตอบคำถาม 7 ข้อ (ขนาดพื้นที่, แหล่งน้ำ, ทิศทางน้ำไหล, ความชัน, ต้นทุนในพื้นที่, ความต้องการปลูก, วิธีกักน้ำ-ตะกอน) 13:00-17:00 | การออกแบบและติดตั้งระบบน้ำบนพื้นที่สูง • สอนการคำนวณปริมาณน้ำฝน (ตัวอย่าง: 102 มม./24 ชม. ในพื้นที่ 8,000 ตร.ม. = 400,000 ลิตร) • ใช้เว็บ Thai Water ดูข้อมูลฝนปัจจุบันและย้อนหลังทุกพื้นที่ • สอนการออกแบบระบบน้ำ: กำหนดปริมาณน้ำที่ต้องการ, หาแหล่งน้ำ (ผิวดิน/ใต้ดิน), คำนวณ Friction Loss ผ่านเว็บ NPE • แนะนำเทคโนโลยี: โซล่าเซลล์ สูบน้ำ, ตะบันน้ำ พกพา ข้อสรุปสำคัญ: "ทั้งประเทศมีน้ำ แต่เก็บไม่หมด" → ต้องมีภูมิปัญญาและนวัตกรรมจัดการน้ำ หมายเหตุ: วันนี้เน้นทักษะออกแบบพื้นที่เชิงปฏิบัติ ผสมผสานหลักอุตุนิยากับเทคโนโลยี เตรียมพร้อมก่อนลงพื้นที่จริงที่จังหวัดน่าน วันที่ 5 ก.ค. 68 (วันที่ 5 ของกิจกรรม) 08:00-12:00 | สรุปและเตรียมนำเสนอโครงการ สะท้อนจากการประชุม Yak AI ร่วมกับจุฬา: • อ้วน: รวบรวมข้อมูลจากพื้นที่ (ขุนสถาน, มณีพฤกษ์, บ้านน้ำหก) นำเสนอ 2 รอบ (เครือข่ายกสิกรรม + จุฬา) เน้นหาจุดเด่น, ความเชื่อมโยง, คีย์เวิร์ด ใช้เครื่องมือ: ภาพ, วิดีโอ, อินโฟกราฟิก • เอ็ม: ตั้งคำถามว่าจะเชื่อม AI ให้เป็นรูปธรรมอย่างไร • กานต์ (เยาวชนเรือราง): เห็นความสำคัญของข้อมูลที่ถูกต้องและละเอียดบนโลกออนไลน์ เพื่อเก็บรักษาภูมิปัญญาอาจารย์ไว้ใน Yak AI • บอล (อายุ 18): ได้ประสบการณ์ใหม่ เห็นว่า Yak AI จะช่วยให้คนหาข้อมูลง่าย (เช่น ทำคลองไส้ไก่บนพื้นที่สูง-ราบต่างกันอย่างไร) จะช่วยรวบรวมข้อมูลชาติพันธุ์ม้ง กิจกรรมตัวอย่าง: วางแผนสื่อสารผลิตภัณฑ์ชุมชน (เช่น กาแฟเดอม้ง มณีพฤกษ์) 13:00-15:00 | นำเสนอผลงานกลุ่ม แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม: 1. กลุ่มจิตอาสาพื้นที่จริง (พี่ปอน) - แสดงการลงพื้นที่ปฏิบัติงาน 2. กลุ่มชุมชน (พี่แอน) - นำเสนอโมเดลชุมชนต้นแบบ 3. กลุ่มผลิตสื่อ (พี่เข็ม) - โปสเตอร์, คลิป, สื่อประชาสัมพันธ์ 4. กลุ่มฐานข้อมูล (พี่แตง) - โครงสร้าง Yak AI และการจัดการความรู้ สรุปภาพรวม: วันสุดท้ายเน้นการบูรณาการความรู้ทั้งหมด เตรียมนำเสนอโครงการต่อจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสร้างระบบ Yak AI เพื่อเก็บรักษาภูมิปัญญาและข้อมูลให้คนรุ่นต่อไปเข้าถึงได้ง่าย พร้อมลงพื้นที่จริงที่จังหวัดน่านต่อไป ผลผลิต/ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นผลผลิต (Output) Sub-PLO 01: วิเคราะห์ระบบน้ำเชิงพื้นที่ 1. ภาพชีวมนฑลร่วม (1 ชุด จาก 42 คน): • สะท้อนความเข้าใจเรื่องการเชื่อมโยงระหว่างดิน น้ำ ป่า และชีวิต • แสดงระบบนิเวศแบบองค์รวมในพื้นที่สูง ตั้งแต่ยอดเขาถึงที่ราบ ต้นน้ำถึงปลายน้ำ • ช่วยให้เห็นภาพความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบต่างๆ ในระบบ • เป็นฐานคิดสำหรับการออกแบบระบบน้ำที่สอดคล้องกับธรรมชาติ 2. รายงานวิเคราะห์ภูมิสังคม: • แผนที่เดินดินชุมชนมาบเอื้อง แสดงการใช้ประโยชน์ที่ดิน แหล่งน้ำ และทรัพยากร • การวิเคราะห์วัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น และวิถีชีวิตที่เกี่ยวข้องกับการจัดการน้ำ • ช่วยให้เข้าใจบริบทชุมชนก่อนออกแบบระบบน้ำ 3. การอ่านและวิเคราะห์แผนที่ภูมิประเทศ: • เรียนรู้การอ่านเส้นชั้นความสูง (Contour Lines) เพื่อเข้าใจความชันและทิศทางการไหลของน้ำ • วิเคราะห์ลุ่มน้ำ จุดสูง จุดต่ำ และเส้นทางน้ำไหลตามธรรมชาติ • ระบุพื้นที่เสี่ยงภัย เช่น บริเวณที่อาจเกิดน้ำท่วม ดินถล่ม หรือน้ำแล้ง • เป็นพื้นฐานสำหรับการวางแผนระบบน้ำที่เหมาะสมกับภูมิประเทศ 4. โมเดลกระบะทรายออกแบบระบบน้ำ (แบ่งกลุ่มทำ): • ช่วยให้เห็นภาพ 3 มิติของภูมิประเทศและระบบน้ำได้ชัดเจน • ฝึกคิดเชิงระบบ เข้าใจหลัก Gravity Flow (น้ำไหลจากที่สูงสู่ต่ำ) • ทดลองออกแบบคลองไส้ไก่ นาขั้นบันได ฝาย หนอง และระบบกักเก็บน้ำต่างๆ • เรียนรู้จากการลองผิดลองถูก เห็นผลทันทีว่าแนวทางไหนเหมาะสม • สามารถปรับเปลี่ยนออกแบบได้ง่ายก่อนนำไปปฏิบัติจริง • สร้างความเข้าใจร่วมกันในทีม ช่วยให้สื่อสารแนวคิดได้ชัดเจน 5. ความรู้หลักที่ถ่ายทอด: • คลองไส้ไก่: วิธีกักเก็บและกระจายน้ำบนพื้นที่ลาดเอียง • นาขั้นบันได: การปรับภูมิประเทศให้เหมาะกับการทำนาและชะลอน้ำ • โคกหนองนา: ระบบบูรณาการที่อยู่อาศัย แหล่งน้ำ และพื้นที่เกษตร • ป่า 5 ระดับ: การจัดระบบพืชหลายชั้นเพื่อฟื้นฟูป่าและกักเก็บน้ำ • อุตุนิยา (ดิน น้ำ ลม ไฟ): หลักคิดองค์รวมในการจัดการทรัพยากร Sub-PLO 02: เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการจัดการน้ำ 1. การใช้ Drone และภาพถ่ายทางอากาศ: • ฝึกบินและถ่ายภาพจากมุมสูง เห็นภาพรวมพื้นที่ทั้งหมด • ช่วยวิเคราะห์การจัดวางอาคาร ระบบน้ำฝน พื้นที่ร่มเงา • สามารถติดตามการเปลี่ยนแปลงของพื้นที่ได้ • ลดเวลาในการสำรวจพื้นที่ขนาดใหญ่ 2. การใช้ GIS (31 คนส่งงานสำเร็จ): • พิกัดพื้นที่ 31 จุด กระจายใน 8 จังหวัด (น่าน ชลบุรี กรุงเทพฯ และภาคใต้) • แต่ละจุดมีข้อมูลพิกัด ขนาดพื้นที่ ความสูง ความชัน ประเภทดิน และแหล่งน้ำ • ช่วยให้วางแผนการพัฒนาได้ตรงตามบริบทพื้นที่จริง • สามารถแชร์ข้อมูลและทำงานร่วมกันผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล • เป็นฐานข้อมูลสำหรับระบบ Yak AI 3. การใช้ AI ออกแบบพื้นที่ (24 คนส่งงานสำเร็จ): • แบบออกแบบด้วย AI 24 พื้นที่ หลากหลายบริบท (นาขั้นบันได, โคกหนองนา, ฟาร์มท่องเที่ยว, บ้านสวนโมเดิร์น) • ช่วยให้เห็นภาพฝันและแรงบันดาลใจในการพัฒนาพื้นที่ • สามารถปรับแต่งและประยุกต์ใช้กับพื้นที่จริงได้ • เป็นเครื่องมือสื่อสารแนวคิดกับครอบครัวและชุมชน • ลดต้นทุนการจ้างนักออกแบบ 4. ระบบ Yak AI: • แผนผังระบบ 3 ระดับ: Core (ฐานข้อมูลกลาง), Platform (เครื่องมือวิเคราะห์), App (แอปพลิเคชันสำหรับผู้ใช้) • ฐานข้อมูล 9 ประเภท: ผู้ใช้งาน, Best Practice, องค์ความรู้, ตลาดคุณค่า, IoT/Sensor, GIS/ภูมิสังคม, นโยบาย, เครือข่าย, การเงิน • แนวคิด New Trade Concept (ตลาดคุณค่า): เชื่อมโยงผู้ผลิตกับผู้บริโภคโดยตรง เน้นคุณภาพและคุณค่ามากกว่าปริมาณ • เป็นโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการขยายผลในอนาคต 5. กิจกรรมเสริม - การแปรรูปสมุนไพร: • เรียนรู้การทำน้ำหมักจุลินทรีย์ 7 รส สูตรท้องถิ่น • รู้จักสมุนไพรไทย เช่น ตะไคร้ พริกไทย ไม้หอม และสรรพคุณ • ฝึกทำยาหม่อง น้ำยาบ้วนปาก น้ำมันสกัด • เชื่อมโยงภูมิปัญญาท้องถิ่นกับการสร้างรายได้ • สามารถนำไปใช้ในการปรับปรุงดินและป้องกันโรคพืช ผลลัพธ์ (Outcome) 1. การพัฒนาความรู้และทักษะ ความรู้เรื่องเทคโนโลยีดิจิทัล: • ก่อนอบรม ไม่รู้จัก AI, GIS, Drone, Sensor เลย 18 คน (42%) รู้จักบางคำ 21 คน (50%) และรู้จักทุกคำเพียง 3 คน (8%) • หลังอบรม ผู้ที่ไม่รู้จักเลยลดเหลือ 0% ผู้ที่ใช้ GIS ได้จริงเพิ่มเป็น 31 คน (74%) และผู้ที่ใช้ AI ได้จริงเพิ่มเป็น 24 คน (57%) ทักษะการออกแบบพื้นที่: • ก่อนอบรม เคยทำแผนผังเส้นทางน้ำ 9 คน (22%) เคยใช้เทคโนโลยีสำรวจพื้นที่ 3 คน (8%) และเคยมีประสบการณ์การจัดการน้ำ 13 คน (31%) • หลังอบรม ผู้เรียนทุกคน 42 คน (100%) สามารถทำแผนผังเส้นทางน้ำและออกแบบระบบน้ำได้ และ 31 คน (74%) สามารถใช้เทคโนโลยี GIS สำรวจพื้นที่ได้ ความเข้าใจเรื่อง "ดิน น้ำ ป่า": • ก่อนอบรม ยังไม่เข้าใจความสัมพันธ์ชัดเจน 13 คน (32%) และเข้าใจบ้างแต่ไม่ลึก 29 คน (68%) • หลังอบรม ผู้เรียนทุกคน 42 คน (100%) เข้าใจความเชื่อมโยงดิน น้ำ ป่าแบบองค์รวม เข้าใจหลักอุตุนิยา และเข้าใจชีวมนฑล
|
56 | 0 |
3. Workshop ครั้งที่ 1 เตรียมการเรียนรู้จากแปลง/ข้อมูลลุ่มน้ำ/เทคโนโลยีเจาะในพื้นที่/ออกแบบพื้นที่เบื้องต้น |
||
วันที่ 20 กรกฎาคม 2568 เวลา 08:00 น.กิจกรรมที่ทำ
ผลผลิต/ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นผลผลิต (Outputs) สิ่งที่เกิดขึ้น “โดยตรง” จากการดำเนินการ • มีรายชื่อผู้ส่งและยังไม่ส่งการบ้านครบถ้วน (ใช้ประเมินความก้าวหน้า) • ผู้เรียนรู้จักและทดลองใช้เครื่องมือเทคโนโลยี AI, GIS, Drone, Windy, iWater.net • ได้กำหนดกิจกรรมภาคสนามและนิทรรศการครบทุกช่วง (ก.ค.–ส.ค.) • ได้สร้างกลไกติดตามความคืบหน้าในกลุ่มไลน์ • ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการวางแผนกิจกรรมภาคสนาม (บ้านมณีพฤกษ์) • เกิดการเตรียมความพร้อมด้านเครื่องมือ อุปกรณ์ และความปลอดภัย ผลลัพธ์ (Outcomes) สิ่งที่ “เปลี่ยนแปลง” หรือ “เกิดขึ้นจริง” จากผลผลิตเหล่านั้น • ผู้เรียนเข้าใจระบบการจัดการ ดิน–น้ำ–ป่า อย่างเป็นองค์รวมมากขึ้น • ผู้เรียนเชื่อมโยงการใช้เทคโนโลยีกับการแก้ปัญหาจริงในพื้นที่สูงได้ • เกิดการประสานความร่วมมือระหว่างชุมชนต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ • ผู้เรียนมีทักษะติดตามสถานการณ์ภัยธรรมชาติด้วยข้อมูลจริง • เกิดความตระหนักเรื่องความปลอดภัยและการเตรียมตัวก่อนลงพื้นที่ • หลักสูตรได้รับการขยายบทบาทไปสู่เวทีสาธารณะ (ปราการเฟสติวัล, ตลาดจุฬาฯ)
|
56 | 0 |
4. Workshop ครั้งที่ 2 เตรียมการเรียนรู้จากแปลง/ข้อมูลลุ่มน้ำ/เทคโนโลยีเจาะในพื้นที่/ออกแบบพื้นที่เบื้องต้น |
||
วันที่ 8 สิงหาคม 2568 เวลา 19:00 น.กิจกรรมที่ทำ
ผลผลิต/ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นผลผลิต (Outputs) จากการดำเนินกิจกรรม Workshop ครั้งที่ 2 ได้เกิดผลผลิตสำคัญหลายประการ ทั้งในด้านองค์ความรู้ เครื่องมือ ทีมงาน และแนวทางพัฒนาระบบข้อมูลเพื่อรองรับสถานการณ์ภัยพิบัติ ดังนี้ 1. เกิดแนวทางพัฒนา “ฐานข้อมูลภัยพิบัติภาคประชาชน” โดยผู้เรียนและทีมภาคสนามได้ร่วมกันออกแบบกรอบข้อมูลเบื้องต้น แยกเป็นสามส่วน ได้แก่ ข้อมูลผู้ประสบภัย ข้อมูลผู้ช่วยเหลือ และข้อมูลพื้นที่ เพื่อให้สามารถเชื่อมโยงกันและใช้วิเคราะห์สถานการณ์ได้จริงในอนาคต 2. มีการกำหนดโครงสร้างเทมเพลตข้อมูลเบื้องต้น จากข้อเสนอของพี่อ้วน ที่ให้แบ่งข้อมูลเป็นสามหมวดหลัก คือ “คน–เครื่องมือ–กระบวนการ” ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการออกแบบระบบจัดเก็บข้อมูลและการประสานงานภาคสนามได้ 3. เกิดการรวมทีมภาคสนามและทีมสนับสนุนข้อมูลอย่างเป็นระบบ ผู้เรียนที่อยู่ทั้งในและนอกพื้นที่ได้ประกาศอาสาเข้าช่วยป้อนข้อมูลเข้าสู่ระบบ และร่วมเป็นทีมต้นแบบในการพัฒนาเทมเพลตฐานข้อมูลร่วมกับทีม AI for Highland 4. ได้ชุดกรณีศึกษา (Case Study) จากสถานการณ์จริง คือเหตุการณ์น้ำท่วมจังหวัดน่าน พ.ศ. 2568 ซึ่งถูกนำมาถอดบทเรียนในเชิงระบบ ทำให้หลักสูตรมีฐานข้อมูลและตัวอย่างจริงสำหรับการเรียนรู้ต่อยอดในอนาคต 5. มีการใช้เครื่องมือเทคโนโลยีจริงในการติดตามและวิเคราะห์สถานการณ์ เช่น Windy, iWater.net และ GIS Mapping เพื่อประกอบการเรียนรู้และจำลองกระบวนการติดตามภัยพิบัติด้วยข้อมูลจริง 6. เกิดแผนการจัดฟอรั่ม (Forum) ความร่วมมือข้ามภาคส่วน เพื่อเชิญหน่วยงานภาครัฐ ภาคประชาชน และเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง เข้ามาร่วมออกแบบระบบข้อมูลและแนวทางป้องกันภัยร่วมกันในระดับพื้นที่ ผลลัพธ์ (Outcomes) 1. ผู้เรียนเข้าใจสถานการณ์ภัยพิบัติจากของจริง และตระหนักถึงความซับซ้อนของการจัดการน้ำในพื้นที่สูง การได้ฟังรายงานจากทีมภาคสนามที่ปฏิบัติจริง ณ ศูนย์ปฏิบัติการภัยพิบัติภาคประชาชน จ.น่าน ทำให้ผู้เรียนเห็นภาพรวมของการเผชิญเหตุและการฟื้นฟูอย่างรอบด้าน เกิดความเข้าใจเชิงระบบ ทั้งในแง่ภูมิประเทศ สภาพอากาศ และโครงสร้างชุมชน ผู้เข้าร่วมสะท้อนว่า “เราได้เห็นคนแก่ที่ลำบากจริง ๆ ไม่มีใครดูแล เห็นแล้วก็รู้สึกดีที่ได้ช่วย ได้บุญ ได้พลังใจ” ซึ่งสะท้อนถึงการเกิด Empathy และแรงบันดาลใจในการทำงานเพื่อผู้อื่น 2. ผู้เรียนพัฒนาทักษะการวิเคราะห์สถานการณ์และการตัดสินใจในภาวะวิกฤต ผ่านบทเรียนจากทีมภาคสนาม เช่น การประเมินสถานการณ์ล่วงหน้า การเลือกอพยพคนเปราะบาง และการค้นหาผู้ตกสำรวจ ทำให้ผู้เรียนเห็นความสำคัญของข้อมูลและการตัดสินใจบนพื้นฐานของข้อเท็จจริง พี่อ๋อกล่าวว่า “ถ้าประเมินสถานการณ์ได้ก่อน จะเตรียมตัวได้ทัน และช่วยคนเปราะบางได้ปลอดภัย” ซึ่งชี้ให้เห็นถึงการเรียนรู้เชิงปฏิบัติที่แปรเป็นทักษะการจัดการวิกฤตจริง 3. เกิดความเข้าใจเรื่อง “สติ ทีมเวิร์ก และข้อมูลที่ถูกต้อง” ในการทำงานภาคสนาม ผู้เข้าร่วมตระหนักว่าการทำงานช่วยเหลือไม่ใช่เพียงแรงใจหรือความตั้งใจ แต่ต้องมีระบบข้อมูลและทีมงานที่เชื่อใจกันได้ พี่แอนกล่าวว่า “ถ้าขาดสติ มีแต่ใจอยากช่วย มันจะไม่ใช่จุดแข็งของเรา... ต้องมีทีมที่ฟังกันและมองไปในเป้าหมายเดียวกัน” — ซึ่งเป็นผลลัพธ์สำคัญด้านการเรียนรู้ภายในทีม 4. เกิดการเรียนรู้เรื่องการดูแลตนเองและการสร้างเครือข่ายความร่วมมือ จากการถอดบทเรียนของน้องไดมอนด์และน้องน้ำชา ผู้เรียนหลายคนตระหนักว่า ผู้ช่วยเหลือต้องดูแลตนเองให้ได้ก่อน เพื่อไม่กลายเป็นภาระในสถานการณ์วิกฤต และเครือข่ายภาคีในพื้นที่เป็นทรัพยากรสำคัญของการปฏิบัติงาน ข้อความหนึ่งที่สะท้อนชัดคือ “เราต้องดูแลตัวเองไม่ให้เป็นผู้ประสบภัยเสียเอง และต้องมีเครือข่ายในพื้นที่ที่ให้ข้อมูลได้ทันที” 5. เกิดการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างผู้เรียนและทีมปฏิบัติจริง การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างทีมภาคสนามและผู้เรียนออนไลน์ ทำให้เกิดความเข้าใจในบทบาทของแต่ละฝ่าย และสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ร่วมกันแบบ co-learning ผู้เข้าร่วมท่านหนึ่งกล่าวว่า “แต่ละคนมีความถนัดของตัวเอง ถ้ารู้ว่าใครทำอะไรได้ และช่วยกันได้ตรงจุด ก็จะจัดทีมได้อย่างมีประสิทธิภาพ” 6. เกิดการพัฒนาแนวคิดระบบข้อมูลภัยพิบัติแบบมีส่วนร่วม จากข้อเสนอของผู้เข้าร่วม เช่น การทำฐานข้อมูลผู้ประสบภัย–ผู้ช่วยเหลือ–พื้นที่ และการใช้เครื่องมือเทคโนโลยี เช่น GIS, Windy, iWater.net ร่วมกับข้อมูลภาคสนาม พี่กานต์เสนอว่า “เราควรมีลิสต์ข้อมูลติดต่อประสานไว้ล่วงหน้า เมื่อพยากรณ์เตือน เราจะได้คุยกับหมู่บ้านเหล่านี้ได้ทัน” — ซึ่งเป็นผลลัพธ์เชิงระบบที่นำไปสู่การออกแบบฐานข้อมูลชุมชนอย่างแท้จริง 7. เกิดการตระหนักรู้ร่วมกันว่าภัยพิบัติไม่ใช่เหตุการณ์เล็ก แต่เป็น “สงครามกับธรรมชาติ” ที่ต้องรับมือด้วยสติและความร่วมมือ คำของพี่เอ็มที่กล่าวว่า “สถานการณ์นี้เหมือนสงครามกับธรรมชาติ เราต้องมีทีมเวิร์ก มีกำลังใจ และสติ” ถูกหยิบยกขึ้นมาหลายครั้งในห้องเรียน เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ผู้เรียนมองเห็นคุณค่าของการเตรียมพร้อมเชิงจิตใจและการพึ่งพาอาศัยกัน 8. หลักสูตร AI for Highland Water Solution ก้าวสู่การเป็นต้นแบบการเรียนรู้จากสถานการณ์จริง การรวมข้อมูลภาคสนาม การสะท้อนบทเรียน และการสังเคราะห์เชิงระบบ ทำให้หลักสูตรนี้มีลักษณะของ “หลักสูตรภาคสนามจริง (Real Situation Learning Model)” ที่สามารถต่อยอดสู่การสร้างหลักสูตรอาสาสมัครภัยพิบัติและการจัดการน้ำแบบบูรณาการได้ในอนาคต
|
0 | 0 |
5. Workshop ครั้งที่ 3 เตรียมการเรียนรู้จากแปลง/ข้อมูลลุ่มน้ำ/เทคโนโลยีเจาะในพื้นที่/ออกแบบพื้นที่เบื้องต้น |
||
วันที่ 23 สิงหาคม 2568 เวลา 19:00 น.กิจกรรมที่ทำเดี๋ยวมากรอก ผลผลิต/ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นเดี๋ยวมากรอก
|
0 | 0 |
6. วิเคราะห์ข้อจำกัดพื้นที่และวางแผนออกแบบ ติดตั้งระบบน้ำจริงร่วมกับชุมชน |
||
วันที่ 2 กันยายน 2568 เวลา 08:00 น.กิจกรรมที่ทำวันที่ 1: 3 กันยายน 2568 ช่วงเช้า (8:00-12:00 น.) ทีมวิทยากรประกอบด้วย อ.เอื้อมพร ลอยประดิษฐ์ อ.อาบอำไพ รัตนภาณุ นายธีระชัย ปัญโญ (หัวหน้าพมพ.6) และนายชัยรัตน์ เลิศวรรณเอก (กรรมการตัดสินกาแฟ) เริ่มกิจกรรมด้วยการแนะนำแนวคิดหลัก "น้ำในที่สูงส่งผลถึงคนข้างล่าง" และการพัฒนาระบบจัดการน้ำอัจฉริยะ โดยมีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์จากเจ้าของพื้นที่ โดยเฉพาะพ่อเอนกที่นำเสนอแปลงซึ่งเคยประสบปัญหาดินถล่มทับปั๊มน้ำ 4 เมตร แต่สามารถฟื้นฟูได้จนมีผลผลิตหลากหลาย ดักตะกอนดินได้ 20 ซม.-2 เมตร และแชร์ปรัชญา "เริ่ม-รอด" ที่เน้นการทำเพื่อลูกหลาน พี่นุ้ยวิเคราะห์ระดับความพร้อม 3 ระดับ คือระดับครัวเรือน (ขุนสถาน) ระดับชุมชน (มณีพฤกษ์ที่รอดได้เป็นปีถ้าถนนตัดขาด) และระดับเชื่อมภายนอก และนำเสนอโมเดล "กาแฟฟื้นป่าแลกโซล่าปั๊ม" ที่เป็นการแลกเปลี่ยนไม่ใช้เงิน พร้อมทั้งโครงการ AI for Highland Water Solution เพื่อเก็บข้อมูลและพิสูจน์ความยั่งยืน โดยมีแปลงเข้าร่วมจากมณีพฤกษ์ 6 แปลง ขุนสถาน 6 แปลง และพื้นที่อื่นๆ รวมกว่า 70 ราย เวลา 11:30 น. อ.ณัฐพงษ์ มณีกร นำทีมสำรวจพื้นที่จริง 2 แปลง ได้แก่แปลงพ่อทวีชัยที่มีการวิเคราะห์สันปันน้ำภูเขาและคำนวนว่าพื้นที่ 20 ไร่สามารถเก็บน้ำได้ 40,000 คิว โดยเน้นหลักการที่ว่าทางออกของน้ำต้องเป็นดินเดิมไม่ใช่ดินถม และแปลงนายพงษ์ศักดิ์ โชติอัศววงค์ ที่มีโจทย์เน้นการท่องเที่ยวโดยต้องเบี่ยงน้ำจากถนนไปคลองไส้ไก่และไม่ให้น้ำทะลัก ช่วงบ่าย (13:00-18:00 น.) ทีมแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มปฏิบัติงาน กลุ่มแรกเรียนรู้เรื่องโซล่าเซลล์โดยคำนวนการใช้งานและเตรียมติดตั้งอุปกรณ์ ส่วนกลุ่มที่สองทำงานขุดคลองไส้ไก่ตามโจทย์จาก อ.ณัฐพงษ์ มณีกร ที่ต้องดักน้ำจากถนนและลาน ไม่ให้น้ำทะลักทำลายพื้น และใช้ประโยชน์จากน้ำให้สูงสุด กิจกรรมปิดด้วยวงสรุปที่พี่นางเพ็ญศรี โชติอัศววงค์ แสดงความขอบคุณทีมที่มาช่วยอย่างซาบซึ้งจนร้องไห้ วันที่ 2: 4 กันยายน 2568 ช่วงเช้า (8:30-12:00 น.) กลุ่มโซล่าเซลล์เข้าห้องเรียนทบทวนทฤษฎีและเรียนใช้ประโยชน์จาก AI ในการคำนวนต่างๆ หลังจากนั้นทำงานต่อท่อทั้งคืนเพื่อติดตั้งระบบให้เสร็จสมบูรณ์ ขณะที่กลุ่มคลองไส้ไก่ขุดคลองต่อจากเดิมให้ลงหนองตามโจทย์ พร้อมปลูกแฝกเพื่อยึดดิน ทำฝายชะลอน้ำ และแต่งคลองให้สมบูรณ์ โดยสามารถทำสำเร็จจนน้ำถึงแปลงพอดี 12:00 น. ตรง ช่วงบ่าย (13:45-18:00 น.) อ.อาบอำไพ รัตนภาณุ สรุปงานโดยถามทั้งสองกลุ่มเกี่ยวกับสิ่งที่ได้ทำและหลักการออกแบบ ซึ่งทุกกลุ่มตอบว่ามี 3 ขั้นตอนคือ สำรวจพื้นที่ก่อนโดยดูทิศทางน้ำ แสง และปัจจัยต่างๆ โดยโจทย์ใหญ่คือต้องเห็นน้ำ จากนั้นออกแบบโดยคำนึงถึงการทำให้น้ำอยู่กับที่นานที่สุดและสวยงามด้วย และลงมือทำโดยแบ่งงานกันปลูกแฝก ทำฝาย ทำหลุมขนมครก ทำ Creek และคำนวนระยะทางความสูง อ.ณรงฤทธิ์ บุญหนัก อธิบายเทคนิคว่าโซล่าเซลล์สามารถดันน้ำได้ 8 บาร์ซึ่งมากกว่าไฟฟ้าที่ดันได้ 7.5 บาร์ โดยแผงโซล่าราคา 25,000 บาท ใช้ได้ 25 ปี คิดเป็นวันละประมาณ 3 บาทเท่านั้น ขณะที่ไฟฟ้าคิดชั่วโมงละ 10 บาท ส่วน อ.ณัฐพงษ์ มณีกร สรุปว่าประทับใจที่ทุกคนเข้าใจหลักการสำคัญของการจัดการน้ำบนที่สูงคือการบังคับด้วยคลอง และเน้นย้ำว่าน้ำต้องไหลช้าที่สุด สโลปต้องไปเกิน 1 ซม. พร้อมทั้งบอกว่าการเล็งและการดูระดับเป็นทักษะที่ AI ช่วยไม่ได้ วันที่ 3: 5 กันยายน 2568 ช่วงเช้า (8:30-12:15 น.) มีคนนอกกลุ่มนำพลับมาขายให้เห็นเป็นตัวอย่าง ซึ่งเก็บได้ 100 กก./ต้น ขายโลละ 25 บาท โดยไม่ได้ใส่ปุ๋ย แตกต่างจากพืชอื่นที่ต้องใช้ปุ๋ยปีละเกือบแสนบาท อ.เอื้อมพร ลอยประดิษฐ์ นำเสนอการวิเคราะห์รายรับ-รายจ่ายจากตัวอย่างบ้านปางแกที่มีครอบครัว 11 คน ใช้จ่ายรวม 242,610 บาท/ปี (22,000 บาท/เดือน) โดยค่าปุ๋ยขี้รวม 79,400 บาท/ปี และเน้นแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงที่ว่าไม่จำเป็นต้องทำได้ทุกคนแต่ให้รวมกลุ่มกันทำ พร้อมทั้งเสนอแนวคิด "เศรษฐกิจ 2 ขา" คือค้าขายได้และปลูกมีพออยู่พอกิน อ.อาบอำไพ รัตนภาณุ นำเสนอแผนการปฏิรูปประเทศที่ต้องมีความร่วมมือจาก 3 ภาคส่วน คือภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ซึ่ง "การยื่นมือมาจับกันคือสิ่งที่เรากำลังทำ เรากำลังสร้างกลไก" หลังพักเบรค อ.อาบอำไพ รัตนภาณุ เปิดคลิปพี่พาชรเกี่ยวกับการเชื่อมโยงกาแฟกับภายนอก โดยเน้นว่ามีหลายพื้นที่ในน่านประสบปัญหาดินถล่มและต้องรวมตัวกันทำงาน เช่นกรณี Gem Forest ที่ขายกาแฟระดมทุนช่วยสร้างบ้านให้คนที่ดินถล่มทับ แนวคิดสำคัญคือ "กาแฟเป็นแค่เครื่องมือที่เราคุยกับคนอื่นได้มากมาย" และ "ใช้กาแฟเป็นเครื่องมือมาทำให้บ้านเราปลอดภัย" พี่เจอธิบายว่ากาแฟมณีพฤกษ์มีคุณภาพสูงมากจนเป็น 1 ใน 5 หรือ 1-3 อันดับในทุกการแข่งขัน แต่ปัญหาคือปริมาณน้อยทำให้ไม่โด่งดังเท่าที่ควร และมีปัญหาเฉพาะคือต้องคั่วหลายรอบมากเพราะเนื้อเมล็ดแน่นกว่าที่อื่น เนื่องจากต้นอยู่ในป่านายวรเทพ อนุวงศ์ประพันธ์ แชร์ว่าปลูกกาแฟเกอิชา 10 ไร่ ค่าใช้จ่าย 100,000 บาท/ปี ไม่ฉีดยาฆ่าหญ้าเพราะจะทำให้ดินและรสชาติเสีย ส่วนพี่พะที่อยู่ในสวนกาแฟและต้องดู 2 รอบ/วัน เล่าว่าเคยถามคนที่ป่วยจากการใช้สารเคมีว่าถ้าตายห่วงอะไรที่สุด ได้คำตอบว่า "ห่วงสวน กลัวรก" ทำให้เขาตระหนักว่า "ขนาดจะตายแล้วเค้ายังคิดจะใช้เคมีอยู่เลย" นายเอนก แสนซุ้ง นำเสนอแผนการตลาดที่จะแปรรูปฟักทองและเปิดตลาดที่โรงพยาบาลน่าน หลังจากนั้นปักหมุดคนทำจริง 10 ครัวเรือนที่ตั้งเป้าลดรายจ่าย 500-2,000 บาท/เดือน และเพิ่มรายได้ 500-3,000 บาท/เดือน พร้อมพื้นที่อื่นๆ รวมกว่า 70 ราย นายเอนก แสนซุ้ง เน้นว่า "ทุกอย่างจะรอดหรือไม่รอด อยู่ที่ฐานข้อมูล" ช่วงบ่าย (12:15-16:00 น.) แบ่งกลุ่มทำงาน 5 กลุ่ม (หัวหน้าทีม) ประกอบด้วย สัมภาษณ์ 10 แกนนำ (อ.สลิลพัชร โรจนาภินันทน์) จัดของที่จะเอาไปจุฬา (อ.กัลยารัตน์ กาญจนพังคะ) กาแฟ (อ.อาบอำไพ รัตนภาณุ) ทำแบนเนอร์และถ่ายภาพ (อ.สุชาดา เพ็งชนะ) และทำคู่มือฐานข้อมูลสินค้า (นางสาวศรีลัดดา เทพารักษ์) เวลา 15:00 น. เสนอแผนตามกลุ่ม และปิดท้ายด้วยอาหารวัฒนธรรมเวลา 16:00 น. วันที่ 4: 6 กันยายน 2568 ช่วงเช้า-บ่าย (7:00-18:00 น.) ออกเดินทางจากมณีพฤกษ์เวลา 8:30 น. ไปบ้านขุนสถานและถึง 12:00 น. หลังจากรับประทานอาหารเที่ยงแล้วเคลื่อนตัวไปโรงเรียนประกิตเวลา 14:00 น. โดยมีบิวตี้ ลูกสาวของนายเอนก แสนซุ้ง และเพื่อนๆ แสดงต้อนรับ และมีการเรียนรู้แบ่งเป็น 3 กลุ่มคือ ทำพิซซ่าม้ง สานตะแหล๋ว และทำน้ำมันจากขยะพลาสติก เวลา 15:40 น. ทีมเคลื่อนตัวไปแปลงนายเอนก แสนซุ้ง เพื่อสำรวจทางน้ำไหล วัดตะกอนดินในหนองและนา และปลูกหญ้าแฝกตามคันดิน ช่วงค่ำ (19:00-22:00 น.) จัดวงสะท้อนภายใต้คำถาม "เห็นโอกาสอะไรบ้าง" ผู้เข้าร่วมสะท้อนว่าเห็นการพัฒนาของแปลงที่มีของกินมากขึ้น ได้เรียนรู้การกักตะกอนดินและน้ำโดยแค่ดูทางน้ำว่าจะกักตรงไหน เห็นว่ากล้วยเป็นพืชพี่เลี้ยง และพืชผลขึ้นง่ายจริง อ.ณรงฤทธิ์ บุญหนัก ชี้ว่าเห็นปริมาณน้ำที่ไหลทิ้งไปเยอะมาก ถ้าดักได้ทั้งหมดจะดีมาก และสำหรับพื้นที่เปิดใหม่คิดว่าปีเดียวก็จะเห็นภาพที่ต่างออกไป นายสุพจน์ คำจาย สรุปว่า "แค่เบี่ยงไปนิดเดียว ก็กักมันได้แล้ว"นายกัมปนาท ทองชาย สังเกตว่าข้าวที่อยู่ในแปลงที่มีตะกอนโตดีกว่าที่อื่นๆ อ.อาบอำไพ รัตนภาณุ ให้ข้อคิดว่าทุกอย่างเป็นไปตามแผนซึ่งเป็นทั้งโอกาสและความเสี่ยง และ "จากวันที่ขุด นับถอยหลังทุกครั้งที่ฝนตก คือนับวันที่จะสูญเสียโอกาสในการฟื้นฟูดิน" อ.อาบอำไพ รัตนภาณุถามนายชวนากร แสนซุ้ง ว่าคิดว่าใครควรมาเรียนซึ่งได้คำตอบว่า "อยากให้มาเรียนทุกคนเลย" และเน้นว่า "ถ้าพายุมาอีกลูกหรือสองลูก อาจจะฟื้นฟูไม่ทันแล้ว ต้องรีบทำให้ลูกนี้สมบูรณ์ สำคัญอยู่ที่ความละเอียดจริงๆ" และ "เวลามีจำกัด ต้องเร่ง" นายเอนก แสนซุ้ง ตอบรับว่าจะนำทั้งคำชม คำติ คำเตือน ไปทำในแปลงให้ดีที่สุด แม้เคยเหนื่อยจนร้องไห้คนเดียวในสวนและคิดจะเลิกทำ แต่ได้กำลังใจจากเพื่อนเลยกลับมาสู้ เพราะ "จะทำเป็นตัวอย่างของชาติพันธุ์และของหมู่บ้านให้ได้" อ.ณัฐพงษ์ มณีกร ชื่นชมว่าแปลงนี้ยากตั้งแต่ออกแบบและขุดเพราะชัน คนที่นี่และญาติพี่น้องก็ไม่ง่าย ความคาดหวังของคนเยอะ แต่ประทับใจที่ฟักทองลูกเบอเร่อและกล้วยงามขนาดนั้นในดินที่ไม่น่าจะปลูกได้ ซึ่งเกิดขึ้นแค่ช่วงฝนนี้แม้ยังเก็บน้ำฝนไม่ได้ ท้ายที่สุดแนะนำว่า "ไม่ต้องเครียด เราต้องรู้ตัวเอง เข้าใจ ใช้เวลาตอนฝนตกจะเห็นเลยว่าน้ำไหลไปทางไหน" และตั้งคำถามว่าทีมดึงนายเอนก แสนซุ้งไปข้างนอกจนไม่มีเวลาอยู่สวนรึเปล่า แต่ก็ให้กำลังใจว่า "ไปกันต่อ" วันที่ 5: 7 กันยายน 2568 ตลอดวัน แบ่งทีมออกเป็น 3 กลุ่มปฏิบัติงานควบคู่กัน กลุ่มแรกนำโดย นายบุญช่วย วรวุฒิไพศาล อ.ณัฐพงษ์ มณีกร และนายพิทักษ์ บุญปลอด สำรวจพื้นที่แปลงนายบุญช่วย วรวุฒิไพศาลและทำบ้านอ.ยักษ์ กลุ่มที่สองนำโดยนายเอนก แสนซุ้ง นายไชยวัฒน์ กองอาสา นายรวีกิตติ์ ฤกษ์สกุลวงศ์ และนายณฐกร ทิวาเวช ขุดคลองไส้ไก่แปลงนายเอนก แสนซุ้ง ต่อ และกลุ่มที่สามนำโดย อ.ณรงฤทธิ์ บุญหนัก อ.สุชาดา เพ็งชนะ นางสาวกุลจิรา สุขศรีทอง นางสาวกิตติภา จันทร์เพ็ญ ซึ่งเป็นตัวแทนของทีมอช.ศรีน่าน สัมภาษณ์นางรัตมณี วรวุฒิไพศาล เรื่องปักผ้าและนายชวกร เรื่องแปลงอโวคาโด้ ผลผลิต/ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นผลผลิต (Output) 1. ความรู้และทักษะที่ถ่ายทอด ด้านการจัดการน้ำ ผู้เข้าร่วมได้เรียนรู้หลักการสำรวจพื้นที่โดยการอ่านทางน้ำ การดูแนวสโลปและคอนทัวร์ รวมถึงการใช้เครื่องมือง่ายๆ อย่าง A-Frame และขวดน้ำในการวัดระดับบนพื้นที่ที่มีความลาดเอียงสูง ซึ่งเป็นทักษะที่ท้าทายและต้องอาศัยการฝึกฝนจริง การออกแบบคลองไส้ไก่ต้องคำนึงถึงความลาดชันที่เกิน 1 เซนติเมตร มีส่วนเว้า-โค้ง ลึก-ตื้น หลุม-แอ่ง และฝายชะลอน้ำ เพื่อให้น้ำไหลช้าที่สุด ไม่กักแต่ชะลอการไหล นอกจากนี้ยังได้เรียนรู้เทคนิคการดักตะกอนดิน การสร้างหนองเก็บน้ำฝนและหนองกระจาย และการทำ Creek ซึ่งเป็นทางน้ำผ่านใต้ทางรถแบบลูกระนาด ซึ่งดินตะกอนที่ดักได้สามารถนำไปใช้ทำดินปลูก ปุ๋ย หรือเพาะปลูกได้ สิ่งสำคัญที่ผู้เรียนค้นพบคือ การทำงานบนพื้นที่ที่ถูกปรับใหม่ต้องเผชิญกับปัญหาดินยังไม่เซ็ตตัว ทำให้ต้องมีเทคนิคการ "ตั้งครรภ์ดิน" ให้ใหญ่และสูงเผื่อการยุบตัวในอนาคต และการขุดคลองเพื่อดักตะกอนที่จะไหลลงมา ด้านพลังงานทดแทน ผู้เข้าร่วมได้ฝึกปฏิบัติจริงในการติดตั้งระบบโซล่าเซลล์ปั๊มน้ำ ตั้งแต่การคำนวณขนาดแผง การติดตั้งปั๊ม ไปจนถึงการวางท่อ โดยใช้ AI ช่วยคำนวณปริมาตรน้ำ ความสูง ระยะทาง และแรงดันน้ำ (ทุก 10 เมตร เท่ากับ 1 บาร์) ได้เรียนรู้ว่าแผงโซล่าเซลล์ราคา 25,000 บาท สามารถใช้งานได้นาน 25 ปี คิดเป็นค่าใช้จ่ายเพียงวันละ 3 บาท และมีประสิทธิภาพดันน้ำได้ถึง 8 บาร์ เทียบกับไฟฟ้าที่ดันได้ 7.5 บาร์ เท่านั้น ซึ่งเหมาะสมกับพื้นที่ที่ไม่มีไฟฟ้าหรือไฟฟ้าไม่เสถียร นายจำลอง เรียนรู้ว่าปั๊มโซล่าเซลล์ตัวเล็กๆ สามารถปั๊มน้ำได้ถึง 1,000 เมตร แรงกว่าปั๊มน้ำมันที่เคยใช้ถึง 10 เท่า และคุ้มค่ากว่ามาก อย่างไรก็ตาม ผู้เรียนได้ค้นพบข้อจำกัดสำคัญคือ ปัญหาแสงน้อยในเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม ระยะทางการติดตั้งที่ไกล ความยากในการหาอุปกรณ์ท่อที่ต้องสั่งมาไกล และการขออนุญาตในเขตอุทยานหรือกรมป่าไม้ ซึ่งนำไปสู่ข้อเสนอแนะในการพัฒนาชุดเก็บไฟฟ้าสำรองไว้ใช้ช่วงฝนเพื่อช่วยประหยัดไฟ และการสร้างต้นแบบระบบโซล่าเซลล์ที่เหมาะสมกับบริบทท้องถิ่น ด้านเศรษฐกิจครัวเรือน มีการวิเคราะห์รายรับ-รายจ่ายอย่างละเอียดจากตัวอย่างหลากหลายครัวเรือน เช่น บ้านปางแก ครอบครัว 11 คน มีรายจ่าย 242,610 บาทต่อปี หรือประมาณ 22,000 บาทต่อเดือน โดยค่าปุ๋ยเคมีเพียงอย่างเดียวสูงถึง 79,400 บาทต่อปี ครอบครัวนางเพ็ญศรี โชติอัศววงค์ ที่บ้านมณีพฤกษ์ มีรายได้จากกาแฟปีละ 70,000-80,000 บาท และรายได้เสริมจากงานรับจ้าง 50,000 บาทต่อปี แต่ต้องลงทุนค่าปุ๋ยอินทรีย์ 30,000 บาทและค่าแรงงาน 30,000 บาทต่อปี พร้อมแบกรับหนี้สิน 730,000 บาท นายมานะ กำเนิดมงคล มีรายได้จากกะหล่ำปีละ 30,000-40,000 บาท แต่ต้นทุนสูงมาก โดยเฉพาะค่าเมล็ดพันธุ์ ปุ๋ย และยาฆ่าหญ้า จนมีหนี้ ธกส. ประมาณ 200,000 บาท ส่วนนายชวกร ศุภสันต์สกุล มีรายได้เสริมจากร้านอาหารและร้านเช่าชุดกว่าหนึ่งแสนบาทต่อปี จากการวิเคราะห์เหล่านี้ ผู้เข้าร่วมเห็นแนวทางในการลดรายจ่ายและเพิ่มรายได้ โดยการผลิตอาหาร ปุ๋ย และพลังงานเองในพื้นที่ ลดการพึ่งพาภายนอก และสามารถคำนวณ "ตุ่มรูรั่ว" ของแต่ละครัวเรือนได้ชัดเจน ผู้เรียนยังได้เข้าใจปัญหาเชิงโครงสร้างของเกษตรพื้นที่สูงอย่างลึกซึ้ง เช่น ดินที่เสื่อมสภาพจากการใช้สารเคมีมานาน แข็ง ขาดธาตุอาหาร จนต้องเว้นแปลงไว้พักเป็นปีๆ ปัญหาแรงดันน้ำไม่พอจากระบบประปาภูเขาที่ท่อยาวไกล ค่าแรงงานที่สูงจนทำนาไม่คุ้มทุน และความไม่แน่นอนของราคาตลาดที่ทำให้เสี่ยงสูง 2. แกนนำที่เกิดขึ้น โครงการได้ "ปักหมุด" แกนนำคนทำจริงทั้งสิ้น 40 กว่าราย กระจายใน 10 หมู่บ้านทั่วจังหวัดน่าน โดยแต่ละรายมีเป้าหมายลดรายจ่ายและเพิ่มรายได้ที่ชัดเจน และที่สำคัญคือมีพื้นฐานและประสบการณ์ที่หลากหลาย ทำให้เกิดการเรียนรู้แบบแลกเปลี่ยนที่ลึกซึ้ง บ้านมณีพฤกษ์มี 5 ราย นำโดยนายทวีชัย กำเนิดมงคล นายพิเชฐ กล้าพิทักษ์ เทพพิชิต อนุวงค์ประพันธ์ (พ่อนาย) ที่จบการศึกษาด้านพืชศาสตร์และมีประสบการณ์ทำงานเป็นบรีดเดอร์ในบริษัทเมล็ดพันธุ์เกือบ 10 ปี ซึ่งเขากำลังสร้าง "คลังพันธุกรรม" รวบรวมพันธุ์ข้าวพื้นเมืองของม้งและพืชพื้นเมืองอื่นๆ ไว้ให้คนรุ่นหลัง พร้อมวางแผนปรับพื้นที่ 12 ไร่เป็นนาขั้นบันไดและอีก 9 ไร่ปลูกชา นางเพ็ญศรี โชติอัศววงค์ และคุณพงษ์ศักดิ์ สามี ที่มีต้นกาแฟกว่า 5,000 ต้นที่ดูแลด้วยปุ๋ยอินทรีย์ 100% และกำลังกลายเป็นที่ปรึกษาเล็กๆ ให้กับชาวบ้านที่มาขอคำแนะนำเรื่องการทำเกษตร และนายมานะ กำเนิดมงคล ที่ดูแลครอบครัว 11 คน บนพื้นที่ 40-50 ไร่ แม้จะเผชิญปัญหาดินเสื่อมและแรงดันน้ำไม่พอ แต่ก็ยังมีความตั้งใจและความหวังที่จะพัฒนาพื้นที่ด้วยระบบโซล่าเซลล์ บ้านขุนสถานมี 4 ราย โดยมีนายเอนก แสนซุ้ง เป็นต้นแบบหลักที่มีเป้าหมายลดรายจ่าย 2,000 บาทและเพิ่มรายได้ 3,000 บาทต่อเดือน เขาเคยเรียนวิชากสิกรรมธรรมชาติที่ศูนย์กสิกรรมธรรมชาติชุมชนต้นน้ำน่านเมื่อ 4 ปีก่อน และได้ปรับพื้นที่ 7 ไร่จากภูเขาหัวโล้นเป็นนาขั้นบันได เพื่อพิสูจน์ว่า "คนม้งไม่ใช่คนทำลายป่าต้นน้ำ แต่เป็นคนรักษาต่างหาก" นายบุญช่วย วรวุฒิไพศาล อายุ 56 ปี ที่มีพื้นที่ 80 ไร่ หันมาทำโคกหนองนาบนพื้นที่ 5 ไร่ และสวนผสม 4 ไร่ ทำให้ครอบครัวสุขภาพดีขึ้นและมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับเพื่อนบ้านผ่านกิจกรรมตลาดบุญ-ทาน นายชวกร ศุภสันต์สกุล อายุ 52 ปี ที่มีพื้นที่ 30 ไร่ และเป็นกรรมการสหกรณ์หมู่บ้าน มีรายได้เสริมจากร้านอาหารและร้านเช่าชุด แม้ยังไม่ได้ปรับมาทำเกษตรกักตะกอนเต็มรูปแบบ แต่ก็อยู่ในกระบวนการเรียนรู้และพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลง และนายฮู้ อายุ 62 ปี ที่มีพื้นที่ 18 ไร่ ซึ่งดินแข็งและได้ใช้สารเคมีมานาน ตัดสินใจเริ่มต้นใหม่ด้วยการเข้าร่วมโครงการฟื้นป่าน่าน บ้านปางแกมีนายดุสิต กรธนะพาณิช อายุ 47 ปี อดีตผู้ดูแลระบบไฮโดรโปนิกส์ที่หันมาทำเกษตรอินทรีย์ 100% บนพื้นที่ 40 ไร่ ได้รับการรับรอง Organic Thailand และกำลังนำ 15 ไร่เข้าสู่โครงการฟื้นป่าน่าน เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารและฟื้นฟูพื้นที่เป็น "ป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง" นอกจากนี้ยังมีแกนนำจากนาหมื่น 7 ราย เวียงสา 3 ราย บ้านน้ำหก 6 ราย บ้านห้วยเลา 11 ราย บ้านหนองบัว 8 ราย และอำเภอเฉลิมพระเกียรติมี 21 ราย แกนนำเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงผู้เรียนรู้ แต่หลายคนกำลังกลายเป็นที่ปรึกษาชุมชนและพร้อมที่จะเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้และเป็นต้นแบบให้ชุมชนอื่นต่อไป 3. โมเดลพื้นที่เรียนรู้ แปลงนายเอนก แสนซุ้ง ที่บ้านขุนสถานเป็นต้นแบบหลักที่แสดงผลสำเร็จที่มองเห็นได้ชัดเจน ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งปี มีกล้วยงามแตกกอ ฟักทองและแตงกวาลูกใหญ่ถึง 6-7 กิโลกรัม มะนอยออมแอม และข้าวงาม โดยไม่ใช้ปุ๋ยเคมีเลย ระบบน้ำสามารถดักตะกอนดินได้ 20 เซนติเมตรในนา และ 2 เมตรในบ่อบน แม้จะเผชิญปัญหาดินสไลด์ทับปั๊มถึง 4 เมตร และแรงกดดันจากที่ทำงาน แต่ก็สามารถแก้ไขและฟื้นตัวได้สำเร็จ นายเอนก แสนซุ้ง มีแผนจะแปรรูปฟักทองเป็นเส้นก๋วยเตี๋ยว ข้าวเกรียบ และข้าวแคบ เพื่อเพิ่มมูลค่า สิ่งที่โดดเด่นของแปลงนี้คือการเป็นหลักฐานที่มีชีวิตว่า "คนม้งไม่ใช่คนทำลายป่าต้นน้ำ แต่เป็นคนรักษา" เพราะนาขั้นบันไดที่สร้างขึ้นไม่เพียงแค่ผลิตอาหาร แต่ยังเก็บรักษาตะกอนดินและน้ำไว้บนภูเขา ไม่ให้ไหลลงไปท่วมคนปลายน้ำ แปลงนายพงษ์ศักดิ์และนางเพ็ญศรี โชติอัศววงค์ ที่บ้านมณีพฤกษ์ ขนาด 4 ไร่จากทั้งหมด 20 ไร่ เน้นการท่องเที่ยวเชิงเกษตรและเกษตรผสมผสาน โดยออกแบบคำนึงถึงวิวและจุดกางเต็นท์ มีปัญหาหนองพังและน้ำทะลักทำลายพื้น ในกิจกรรมครั้งนี้ได้แก้ไขโดยขุดคลองไส้ไก่เบี่ยงน้ำจากถนน ปลูกแฝกยึดดิน ทำฝายชะลอน้ำ และทำ Creek เพื่อให้รถวิ่งได้โดยน้ำยังไหลผ่านได้ ผู้เข้าร่วมได้ลงมือทำจริงจนเห็นน้ำไหลเข้าหนองตามที่ออกแบบไว้ แต่ในกระบวนการทำงานพบว่า การขุดบนพื้นที่ที่มีหินเยอะทำให้ขุดยาก ดินเป็นหลุมเป็นบ่อน้ำขังเป็นขี้โคลน ดินติดอุปกรณ์ทำให้อุปกรณ์หนักและคนขุดเหนื่อย ซึ่งทำให้เกิดการเรียนรู้ในการจัดการทีมงาน เช่น การหมั่นทำความสะอาดอุปกรณ์เพื่อลดพลังงานคนขุด การแบ่งคนแบ่งงานแบ่งพื้นที่ให้ชัดเจนตามความถนัด และการมี "ทีมพลาธิการ" ดูแลเรื่องน้ำ ขนม อาหารให้เพื่อนๆ ที่ทำงานเหนื่อย จุดเด่นของแปลงนี้คือการทำเกษตรด้วยปุ๋ยอินทรีย์ 100% บนพื้นที่กาแฟกว่า 5,000 ต้น พร้อมผลไม้และไม้ยืนต้นที่หลากหลาย เช่น กล้วย มะนาว อะโวคาโด และต้นนางพญาเสือโคร่งกว่า 500 ต้น โดยใช้โมเดลโคกหนองนาเป็นหัวใจในการจัดการน้ำ แม้จะยังเผชิญปัญหาน้ำไม่พอในหน้าแล้งและเส้นทางถูกดินสไลด์ปิดในฤดูฝน แต่ครอบครัวก็ปรับตัวและเดินหน้าต่อ และที่สำคัญคือเจ้าของแปลงกำลังกลายเป็นที่ปรึกษาให้กับชาวบ้านที่มาขอคำแนะนำเรื่องการทำเกษตร แปลงนายทวีชัย กำเนิดมงคล ขนาด 2 ไร่จาก 14 ไร่ มีการติดตั้งระบบโซล่าเซลล์ดูดน้ำจากที่ต่ำขึ้นดอย สำเร็จภายในเวลาเพียง 2 วัน โดยมีหนองเก็บน้ำความจุ 500 คิว รองรับน้ำจากสันปันน้ำ 20 ไร่ ซึ่งสามารถเก็บน้ำได้ถึง 40,000 คิว ผู้เข้าร่วมได้ฝึกการต่อท่อทั้งคืนจนน้ำขึ้นถึงแปลงจริง ทำให้เห็นว่าเทคโนโลยีโซล่าเซลล์สามารถแก้ปัญหาพื้นที่สูงที่ไม่มีไฟฟ้าได้จริง แปลงนายดุสิต กรธนะพาณิช ที่บ้านปางแก ขนาด 40 ไร่ เป็นตัวอย่างของการเปลี่ยนผ่านจากเกษตรเคมีสู่เกษตรอินทรีย์อย่างเต็มรูปแบบ จากอดีตที่เคยปลูกกะหล่ำ ข้าวโพด ถั่วลันเตาด้วยสารเคมี และพบว่าไม่ยั่งยืน ก่อนจะหันมาเข้าร่วมโครงการหลวงในปี 2558 ปลูกผักในโรงเรือน และปัจจุบันได้รับการรับรอง Organic Thailand แปลงนี้แสดงให้เห็นว่าการฟื้นฟูดินและระบบนิเวศสามารถทำได้จริง แม้จะใช้เวลาและต้องปรับเปลี่ยนทั้งระบบการผลิต และกำลังนำ 15 ไร่เข้าสู่โครงการฟื้นป่าน่านเพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารและพัฒนาเป็น "ป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง" 4. แผนงานเชื่อมโยงภายนอก มีการวางแผนเชื่อมโยงตลาดและการกระจายสินค้าอย่างเป็นระบบ เริ่มจากวันที่ 11 กันยายน 2568 จะนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อสื่อสารกับสาธารณะและสร้างช่องทางตลาด ต่อมาจะเปิดตลาดที่โรงพยาบาลน่านสำหรับสินค้าอินทรีย์ โดยมีลูกสาวของนายเอนก แสนซุ้ง ที่ทำงานที่นั่นเป็นตัวเชื่อม และใช้ร้านรองกวางเป็นช่องทางจำหน่ายมะนอยออมแอม ผลิตภัณฑ์หลักที่พร้อมจำหน่ายคือกาแฟมณีพฤกษ์ซึ่งมีคุณภาพระดับโลก มักติดอันดับ 1-3 ในการแข่งขัน แต่ปัญหาคือปริมาณน้อยทำให้ไม่เป็นที่รู้จัก มีแผนพัฒนาการคั่วให้เหมาะสม เพราะกาแฟจากป่าต้องใช้เวลาคั่วนานกว่า น้ำดื่มจากบ้านน้ำหก ผักผลไม้อย่างฟักทอง แตงกวา มะนอยออมแอม และแผนแปรรูปผลิตภัณฑ์จากฟักทอง นอกจากนี้ยังมีโมเดล "กาแฟฟื้นป่าแลกโซล่าปั๊ม" เป็นระบบแลกเปลี่ยนไม่ใช้เงิน เชื่อมระหว่างผู้ผลิตกาแฟกับเทคโนโลยี มีเป้าหมาย 6 แปลงนำร่อง และวางแผนพัฒนารถเย็น ห้องเย็น และแพลตฟอร์มขายของตัวเองในอนาคต 5. เครื่องมือและนวัตกรรม มีการพัฒนาฐานข้อมูล "AI for Highland Water Solution" เพื่อเก็บข้อมูลปริมาณน้ำ ดินตะกอน ผลผลิต และพฤติกรรมชาวบ้านอย่างเป็นระบบ มีวัตถุประสงค์เพื่อพิสูจน์ความสำเร็จและเป็นแหล่งข้อมูลให้คนอื่นนำไปใช้ได้ โดยมีทีม AI นำโดยพี่ปิ้วรับผิดชอบ สำหรับเครื่องมือการเรียนรู้เยาวชน มีการพัฒนาหลักสูตรที่โรงเรียนประกิต เช่น การสานตะแหล๋ว ทำพิซซ่าม้ง และทำน้ำมันจากขยะพลาสติก รวมถึงการใช้โลกการ์ตูน (อนิจิน) ให้เด็กๆ ฝึกซ้อมผังน้ำในโลกจินตนาการก่อนลงมือทำจริง ทำให้การเรียนรู้น่าสนใจและเข้าใจง่ายขึ้น ผลลัพธ์ (Outcome) 1. การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและความเชื่อมั่น ในระดับปัจเจกบุคคล เกิดความมั่นใจอย่างชัดเจนจากคำพูดของชาวบ้านที่ว่า "รอดแน่นอน เป็นปีก็รอด" เมื่อถูกถามว่าถ้าถนนตัดขาดจะอยู่รอดได้กี่เดือน ความเข้าใจเปลี่ยนจาก "ไม่เชื่อว่าปิดถนน 1 เดือนจะรอด" เป็น "มีอาหาร น้ำสะอาด พอเพียง อยู่ได้จริง" นายเอนก แสนซุ้ง แม้จะเผชิญความเหนื่อยยากจนร้องไห้ในสวนคนเดียว ถูกกดดันจากที่ทำงาน แต่ก็กลับมาสู้ต่อด้วยกำลังใจจากเพื่อนและคุณครู และมีความมุ่งมั่นที่จะทำให้สำเร็จเพื่อลูกและครอบครัว พร้อมความฝันที่จะขยายวิถีเกษตรกักตะกอนดินและน้ำไปถึงชาวม้งทั่วโลก เพื่อพิสูจน์ว่าม้งคือผู้รักษาป่าและผู้ดูแลน้ำ ในระดับครัวเรือน นายบุญช่วย วรวุฒิไพศาล ปลูกข้าวครั้งแรกโดยไม่ใช้เคมีเลยและได้ข้าวที่สวยมาก ทำให้ครอบครัวสุขภาพดีขึ้นและมีความมั่นคงในการกินอยู่ นายวรเทพ อนุวงศ์ประพันธ์ มั่นใจว่าโซล่าเซลล์ขึ้นดอยได้จริงหลังจากเห็นน้ำไหลด้วยตาตัวเอง นายจำลอง เรียนรู้ว่าปั๊มโซล่าเซลล์ตัวเล็กๆ สามารถปั๊มน้ำได้ถึง 1,000 เมตร แรงกว่าปั๊มน้ำมันที่เคยใช้ถึง 10 เท่า และคุ้มค่ากว่ามาก เทพพิชิต อนุวงค์ประพันธ์ (พ่อนาย) ผู้มีประสบการณ์ด้านพันธุกรรมพืชเกือบ 10 ปี กำลังสร้าง "คลังพันธุกรรม" รวบรวมพันธุ์ข้าวพื้นเมืองของม้งและพืชพื้นเมืองอื่นๆ ไว้ให้คนรุ่นหลัง และมีแผนจะปรับพื้นที่ 12 ไร่เป็นนาขั้นบันไดและอีก 9 ไร่ปลูกชา โดยได้แรงบันดาลใจจากเพื่อนที่บ้านปางแกซึ่งทำนาขั้นบันได 5 ไร่ ได้ข้าวกินพอทั้งปี นายดุสิต กรธนะพาณิช เปลี่ยนจากการใช้สารเคมีมาเป็นเกษตรอินทรีย์ 100% บนพื้นที่ 40 ไร่ และได้รับการรับรอง Organic Thailand แสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนผ่านทำได้จริงแม้จะใช้เวลา นายฮู้ อายุ 62 ปี ตัดสินใจเริ่มต้นใหม่บนพื้นที่ 18 ไร่ที่ดินแข็งและเคยใช้สารเคมีมานาน แสดงให้เห็นว่าไม่มีอายุไหนสายเกินไปสำหรับการเปลี่ยนแปลง ในระดับชุมชน เกิดการช่วยเหลือกันขุดคลองร่วมกัน ต่อท่อทั้งคืนจนสำเร็จ สร้างมิตรภาพและการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างชาติพันธุ์ต่างๆ ทั้งลัวะ ม้ง และคนเมือง ที่ทำงานร่วมกันได้อย่างลงตัว มีการจัดประชุมหมู่บ้านทุกเดือน กิจกรรมตลาดบุญ-ทาน และมีเยาวชนเข้ามาช่วยงานฟื้นฟูป่า ดิน และน้ำร่วมกัน ความสัมพันธ์ในชุมชนแน่นแฟ้นขึ้น และที่สำคัญคือหลายคนเริ่มกลายเป็น "ที่ปรึกษาชุมชน" เช่น นางเพ็ญศรี โชติอัศววงค์ ที่ชาวบ้านมาขอคำแนะนำเรื่องการทำเกษตร นายชวกร ศุภสันต์สกุล ที่เป็นกรรมการสหกรณ์หมู่บ้านและอยู่ในกิจกรรมตลาดบุญ-ทานอย่างสม่ำเสมอ แม้ยังไม่ได้ปรับมาทำเกษตรกักตะกอนเต็มรูปแบบ แต่ก็ยืนอยู่กับชุมชน ร่วมแรงร่วมใจ และพร้อมจะเปลี่ยนแปลงเมื่อถึงเวลาเหมาะสม 2. ความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับหลักการจัดการน้ำและข้อจำกัดของพื้นที่ ผู้เข้าร่วมเข้าใจลึกซึ้งว่า "น้ำต้องไหลช้าที่สุด" ไม่ใช่การกักน้ำไว้ แต่เป็นการชะลอการไหล นายสาธิต นุชเกษม สะท้อนว่า "ใช้เวลากับการสำรวจมากขึ้น ละเอียดมากขึ้น" เพราะถ้าเราไม่เดินดูพื้นที่ให้ทั่ว จะมองไม่เห็นการไหลของน้ำจริงๆ โดยเฉพาะบนพื้นที่ที่มีความลาดเอียงสูงซึ่งทำให้การเล็งระดับยากมาก นายกัมปนาท ทองชาย เรียนรู้ว่า "มองด้วยตามันไม่ใช่" การเล็งระดับน้ำเป็นทักษะที่ต้องฝึกฝนและต้องใช้อุปกรณ์อย่าง A-Frame ช่วย AI ช่วยคำนวณได้แต่ช่วยในส่วนนี้ไม่ได้ นายพิเชฐ กล้าพิทักษ์ เตือนว่า "ครั้งแรกถ้าทำผิด เวลาแก้มันยาก" เพราะต้องมีคนที่มีประสบการณ์ดูแลการขุด ดินต้องแน่น ระดับต้องเท่ากัน ไม่เช่นนั้นจะพังและแก้ไขยากมาก สิ่งที่ผู้เรียนค้นพบเพิ่มเติมคือ ข้อจำกัดของพื้นที่ที่ถูกปรับใหม่ ดินยังไม่เซ็ตตัว ทำให้ขุดแล้วไม่อยู่ตัว เดินยาก และไม่รู้ว่าจะยุบมากน้อยแค่ไหน ซึ่งต้องรอให้ดินเซ็ตตัวหรือคิดเผื่ออนาคตและขุดเผื่อไว้เลย เช่น การ "ตั้งครรภ์ดิน" ให้ใหญ่และสูง หรือขุดคลองเพื่อดักตะกอนที่จะไหลลงมา นอกจากนี้ยังมีปัญหาดินเป็นหลุมเป็นบ่อน้ำขัง พื้นที่มีหินเยอะทำให้ขุดยาก และดินติดอุปกรณ์ทำให้อุปกรณ์หนักและคนขุดเหนื่อย ซึ่งต้องหมั่นทำความสะอาดอุปกรณ์เพื่อลดพลังงานคนขุด ผู้เรียนยังเข้าใจปัญหาเชิงโครงสร้างของพื้นที่สูงอย่างลึกซึ้ง เช่น ดินที่เสื่อมสภาพจากการใช้สารเคมีมานาน แข็ง ขาดธาตุอาหาร จนต้องเว้นแปลงไว้พักเป็นปีๆ อย่างที่นายมานะ กำเนิดมงคลและนายฮู้เผชิญอยู่ ปัญหาแรงดันน้ำไม่พอจากระบบประปาภูเขาที่ท่อยาวไกล ทำให้น้ำไหลไม่ถึงอย่างที่ควร ค่าแรงงานที่สูงจนทำนาไม่คุ้มทุน อย่างที่เทพพิชิต อนุวงค์ประพันธ์สะท้อนว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา การทำนาข้าวไม่คุ้มทุนอีกต่อไป เมื่อก่อนปลูก 5-10 ไร่ ได้ถึง 100 กระสอบ แต่ปัจจุบันลงทุนกว่า 40,000-50,000 บาท กลับได้เพียง 20-30 กระสอบ เพราะต้องจ้างแรงงานแทนการช่วยกันในครอบครัว สุดท้ายเขาตัดสินใจเลิกทำนาและหันไปซื้อข้าวกินแทน และความไม่แน่นอนของราคาตลาดที่ทำให้เสี่ยงสูง อย่างที่นายมานะกังวลว่า "ราคาผลผลิตไม่แน่นอน ยิ่งทำเยอะยิ่งเสี่ยง" หลักการเหล่านี้ไม่ได้มาจากหนังสือ แต่มาจากการลงมือทำจริงและเรียนรู้จากข้อผิดพลาด 3. การพัฒนาระบบการทำงานร่วมกันและการจัดการทีม จากประสบการณ์การลงแปลงจริง ผู้เรียนค้นพบความสำคัญของการจัดการทีมงานที่ดี ปัญหาที่พบคือ ขาดคนดูแลประจำจุด ไม่ได้ทำตามแผนที่วางไว้ ปรับเปลี่ยนไปตามความเห็นของคนที่มาเห็นและให้ความเห็น บางคนไม่กินข้าวก่อนทำงาน ตารางลงแปลงไม่เหมาะ หิวแล้วทำงานไม่ไหว และบางคนไม่ล้างอุปกรณ์หลังลงแปลง ซึ่งนำไปสู่ข้อเสนอแนะในการพัฒนาระบบการทำงาน ได้แก่ การแบ่งคนแบ่งงานแบ่งพื้นที่ให้ชัดเจนตั้งแต่แรกตามความถนัดของแต่ละคน เมื่อมีคนเสร็จงานแล้วตนเองค่อยไปช่วยเพื่อน การมี "ทีมพลาธิการ" ดูแลเรื่องน้ำ ขนม อาหารให้เพื่อนๆ ที่ทำงานเหนื่อย การสร้างกำลังกาย กำลังใจ และกำลังปัญญาก่อนลงแปลงทุกครั้ง และการที่ทุกคนดูแลรักษาความสะอาดอุปกรณ์ของตนเอง ระบบการทำงานเหล่านี้ช่วยให้การลงแปลงมีประสิทธิภาพและสร้างความสามัคคีในทีม 4. การสร้างเครือข่ายข้ามภาคส่วน เกิดการยื่นมือจับกันระหว่างสามภาคส่วนหลัก ได้แก่ ภาครัฐที่มีองค์การบริหารส่วนตำบลพระพุทธบาท (พมพ.) อุทยานแห่งชาติศรีน่าน และโรงพยาบาลน่านเข้ามาสนับสนุน ภาคเอกชนที่มี Gem Forest โดยพี่สา กรรมการตัดสินกาแฟ และร้านกาแฟต่างๆ ที่ใช้กาแฟเป็นเครื่องมือระดมทุนช่วยเหลือผู้ประสบภัยดินถล่ม ภาคประชาชนที่มีแกนนำ 40 กว่ารายจาก 10 หมู่บ้าน และภาควิชาการที่มีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เป็นพันธมิตร นอกจากนี้ยังมีเครือข่ายระหว่างประเทศกับ V-CIL (เยาวชนเวียดนาม) ที่จะมาเรียนรู้ในเดือนธันวาคม 2568 และอารยธามที่จะมาในเดือนกุมภาพันธ์ 2569 การสร้างเครือข่ายนี้ไม่ใช่เพียงแค่การทำงานร่วมกัน แต่เป็นการสร้างกลไกที่จะขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในระดับนโยบายได้ โดยเฉพาะการประสานงานเรื่องการขออนุญาตในเขตอุทยานหรือกรมป่าไม้ซึ่งเป็นข้อจำกัดสำคัญที่ผู้เรียนค้นพบ รวมถึงการแก้ไขปัญหาการไม่มีเอกสารสิทธิ์ที่ดินซึ่งเป็นข้อจำกัดของเกษตรกรภูเขาหลายราย 5. การรับรู้บทบาทและเป้าหมายที่ชัดเจน ผู้เข้าร่วมเข้าใจชัดเจนว่าการพัฒนามีสามระดับ คือ ระดับครัวเรือนที่เน้นความมั่นคงของครอบครัว เช่น บ้านขุนสถานที่มี 6 แปลง ระดับชุมชนที่สามารถพึ่งพาตัวเองได้ทั้งหมู่บ้าน เช่น บ้านมณีพฤกษ์และบ้านห้วยเลา และระดับเชื่อมภายนอกที่มีระบบการขาย แพลตฟอร์ม รถเย็น ห้องเย็น เพื่อกระจายสินค้าออกไป มีสโลแกนที่จดจำได้ชัดเจน เช่น "เริ่มน่ะ รอดแน่นอน" ของนายเอนก แสนซุ้ง คำถามท้าทาย "ถ้าถนนตัดขาด รอดมั้ย? รอดกี่เดือน?" และคำแนะนำของอ.ณัฐพงษ์ มณีกร ว่า "เราทำต้องทำให้ครัวเรือนเรารอดก่อน ไม่ต้องคิดใหญ่โตจนเกินไป แต่ให้เริ่มจากที่เล็กที่สุดก่อน" ที่สำคัญคือผู้เรียนหลายคนมีเป้าหมายระยะยาวที่ชัดเจนและมีความหมาย เช่น นายเอนก แสนซุ้ง ที่ต้องการพิสูจน์ให้เห็นว่า "คนม้งไม่ใช่คนทำลายป่าต้นน้ำ แต่เป็นคนรักษาต่างหาก" และมีความฝันที่จะขยายวิถีเกษตรกักตะกอนดินและน้ำไปถึงชาวม้งทั่วโลก เทพพิชิต อนุวงค์ประพันธ์ ที่กำลังสร้าง "คลังพันธุกรรม" เพื่อเก็บรักษาพันธุ์ข้าวพื้นเมืองและพืชพื้นเมืองไว้ให้คนรุ่นหลัง นายดุสิต กรธนะพาณิช ที่มุ่งมั่นพัฒนาพื้นที่เป็น "ป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง" เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารและฟื้นฟูระบบนิเวศ นายมานะ กำเนิดมงคล ที่แม้จะเผชิญหนี้สินและความยากลำบาก แต่ยังมีความตั้งใจและความหวังที่จะพัฒนาพื้นที่ด้วยระบบโซล่าเซลล์ และนายฮู้ที่อายุ 62 ปีแล้วยังตัดสินใจเริ่มต้นใหม่ แสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงไม่มีวันสายเกินไป การเรียนรู้จากการทำจริงทำให้ผู้เรียนเข้าใจว่าการเริ่มต้นต้องมีการเรียนรู้จากการทดลองทำจริง การสร้างต้นแบบ และการแก้ไขปัญหาเมื่อเจอข้อจำกัดของพื้นที่ ซึ่งทำให้เป้าหมายมีความเป็นจริงและสามารถบรรลุผลได้
|
56 | 0 |
7. Workshop ฝึกเขียน Reflection Log และพูดต่อกลุ่ม, เปิดห้อง Open สื่อสารผลการเรียนรู้และออกแบบเชิงนโยบาย ร่วมกับเครือข่ายจุฬาฝ่าพิบัติในงาน NAN FORUM |
||
วันที่ 9 กันยายน 2568 เวลา 08:00 น.กิจกรรมที่ทำเดี๋ยวมากรอก ผลผลิต/ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นเดี๋ยวมากรอก
|
56 | 0 |
8. Reflection & Post-test เพื่อประเมิน batch |
||
วันที่ 18 กันยายน 2568 เวลา 13:00 น.กิจกรรมที่ทำเดี๋ยวมากรอก ผลผลิต/ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นเดี๋ยวมากรอก
|
0 | 0 |
9. การติดตามและประเมินผลหลังหลักสูตร (Follow-up and Impact Evaluation) |
||
วันที่ 3 ตุลาคม 2568 เวลา 09:00 น.กิจกรรมที่ทำเดี๋ยวมากรอก ผลผลิต/ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นเดี๋ยวมากรอก
|
56 | 0 |
* ผลผลิต หมายถึง ผลที่เกิดขึ้นเชิงปริมาณจากการทำกิจกรรม เช่น จำนวนผู้เข้าร่วมประชุม จำนวนผู้ผ่านการอบรม จำนวนครัวเรือนที่ปลูกผักสวนครัว เป็นต้น
** ผลลัพธ์ หมายถึง การเปลี่ยนแปลงที่นำไปสู่การแก้ปัญหา เช่น หลังอบรมมีผู้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจำนวนกี่คน มีข้อบังคับหรือมาตรการของชุมชนที่นำไปสู่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหรือสภาพแวดล้อม เป็นต้น ทั้งนี้ต้องมีข้อมูลอ้างอิงประกอบการรายงาน เช่น ข้อมูลรายชื่อแกนนำ , แบบสรุปการประเมินความรู้ , รูปภาพกิจกรรมพร้อมคำอธิบายใต้ภาพ เป็นต้น
ส่วนที่ 2 ประเมินความพึงพอใจต่อความสำเร็จและปัญหาอุปสรรคในการดำเนินโครงการในภาพรวม
ผลการดำเนินโครงการ
สรุปผลการดำเนินโครงการ
ผลการดำเนินโครงการ/กิจกรรม:
บรรลุตามวัตถุประสงค์ของโครงการ
บรรลุตามวัตถุประสงค์บางส่วนของโครงการ
ไม่บรรลุตามวัตถุประสงค์ของโครงการ
ผลผลิตโครงการ
| วัตถุประสงค์ | สถานการณ์ | เป้าหมาย | ผลผลิต | อธิบาย |
|---|
ผู้เข้าร่วมโครงการ
| กลุ่มเป้าหมาย | จำนวนที่วางไว้(คน) | จำนวนที่เข้าร่วม(คน) |
|---|---|---|
| จำนวนกลุ่มเป้าหมายทั้งหมด | 0 | |
| กลุ่มเป้าหมาย | จำนวนที่วางไว้(คน) | จำนวนที่เข้าร่วม(คน) |
บทคัดย่อ*
โครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ
ผลการดำเนินงานที่สำคัญ ได้แก่ (1) ภาพรวมของรายวิชา/พื้นฐานการวิเคราะห์ลุ่มน้ำ - ศึกษาภูมิสังคมและระบบน้ำในพื้นที่สูง (2) วิเคราะห์ระบบน้ำเชิงพื้นที่ เรียนรู้ เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการจัดการน้ำ ออกแบบและติดตั้งระบบน้ำในพื้นที่สูง สื่อสารผลการเรียนรู้และออกแบบ (3) Workshop ครั้งที่ 1 เตรียมการเรียนรู้จากแปลง/ข้อมูลลุ่มน้ำ/เทคโนโลยีเจาะในพื้นที่/ออกแบบพื้นที่เบื้องต้น (4) Workshop ครั้งที่ 2 เตรียมการเรียนรู้จากแปลง/ข้อมูลลุ่มน้ำ/เทคโนโลยีเจาะในพื้นที่/ออกแบบพื้นที่เบื้องต้น (5) Workshop ครั้งที่ 3 เตรียมการเรียนรู้จากแปลง/ข้อมูลลุ่มน้ำ/เทคโนโลยีเจาะในพื้นที่/ออกแบบพื้นที่เบื้องต้น (6) วิเคราะห์ข้อจำกัดพื้นที่และวางแผนออกแบบ ติดตั้งระบบน้ำจริงร่วมกับชุมชน (7) Workshop ฝึกเขียน Reflection Log และพูดต่อกลุ่ม, เปิดห้อง Open สื่อสารผลการเรียนรู้และออกแบบเชิงนโยบาย ร่วมกับเครือข่ายจุฬาฝ่าพิบัติในงาน NAN FORUM (8) สรุป และนำเสนอ Poster สไลด์/วิดีโอ/Poster ข้อเสนอเชิงนโยบาย (9) Reflection & Post-test เพื่อประเมิน batch (10) กิจกรรม การติดตามและประเมินผลหลังหลักสูตร (Follow-up and Impact Evaluation) (11) การติดตามและประเมินผลหลังหลักสูตร (Follow-up and Impact Evaluation)
ข้อเสนอแนะ ได้แก่ (1) ...
หมายเหตุ *
ปัญหาอุปสรรคและข้อเสนอแนะ
| ปัญหาและอุปสรรค | สาเหตุ | ข้อเสนอแนะ |
|---|---|---|
|
|
|
การออกแบบการจัดการน้ำอัจฉริยะในพื้นที่เกษตรกรรมบนภูเขาด้วย AI และภูมิปัญญาท้องถิ่น Smart Water Management Design in Highland Agriculture using AI and Indigenous Knowledge (Non-Degree Certificate Program) จังหวัด
รหัสโครงการ FN68/0039
ได้ดำเนินกิจกรรมตามที่เสนอไว้เสร็จสมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว
( )
ผู้รับผิดชอบโครงการ
......./............/.......