directions_run

การออกแบบการจัดการน้ำอัจฉริยะในพื้นที่เกษตรกรรมบนภูเขาด้วย AI และภูมิปัญญาท้องถิ่น Smart Water Management Design in Highland Agriculture using AI and Indigenous Knowledge (Non-Degree Certificate Program)

Workshop ครั้งที่ 2 เตรียมการเรียนรู้จากแปลง/ข้อมูลลุ่มน้ำ/เทคโนโลยีเจาะในพื้นที่/ออกแบบพื้นที่เบื้องต้น8 สิงหาคม 2568
8
สิงหาคม 2568รายงานจากพื้นที่ โดย ธันยพร เปรมปรี
circle
กิจกรรมที่ปฎิบัติรายละเอียดของการทำกิจกรรมที่ได้ปฎิบัติจริง
  1. นำเข้าสู่บริบทการเรียนรู้จากสถานการณ์จริง • อ.นุ้ยและทีมงานเปิดเวิร์กช็อปโดยชี้ให้เห็นว่า เหตุการณ์น้ำท่วมจังหวัดน่านในปลาย ก.ค.–ต้น ส.ค. เป็น “ห้องเรียนจริง” สำหรับหลักสูตร • ผู้เรียนได้รับฟังรายงานสถานการณ์โดยตรงจากทีมภาคสนามที่ทำงานอยู่กับ ศูนย์ปฏิบัติการภัยพิบัติภาคประชาชนจังหวัดน่าน (ศภป.น่าน) • ย้ำแนวคิด “เรียนบนสถานการณ์จริง เพื่อไปปฏิบัติจริง” และให้ผู้เรียนใช้กรณีศึกษานี้เป็นข้อมูล “On-going Data Set” สำหรับการพัฒนาแผนและฐานข้อมูลภัยพิบัติ
  2. การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ภาคสนาม ทีมภาคสนาม 4 คน (พี่อ๋อ, พี่แอน, ไดมอนด์, น้ำชา) ถ่ายทอดประสบการณ์ตรงจากพื้นที่น้ำท่วม • รายงานระดับน้ำสูงสุด (9.49 ม.) และผลกระทบต่อพื้นที่เปราะบาง • เล่าขั้นตอนการปฏิบัติงานจริง: ช่วยขนส่งอาหาร, ฟื้นฟูหลังน้ำลด, ผลิตน้ำยาอเนกประสงค์ใช้ล้างบ้าน • บอกเล่าการทำงานร่วมกับเครือข่ายภาคประชาชน มูลนิธิ และองค์กรต่าง ๆ • สะท้อนสภาพจิตใจ ความเดือดร้อน และพลังใจของผู้ประสบภัย
  3. การถอดบทเรียนรายบุคคล ผู้เรียนสะท้อนบทเรียนที่ได้จากเหตุการณ์จริง แยกตามมิติที่เรียนรู้ เช่น พี่อ๋อ: การประเมินสถานการณ์ล่วงหน้า / การตัดสินใจอพยพ / การค้นหาผู้ตกสำรวจ พี่แอน: สติ – ข้อมูลที่ถูกต้อง – ทีมเวิร์ก คือสามเสาหลักของการทำงานภัยพิบัติ ไดมอนด์: การดูแลตนเอง / เครือข่ายเพื่อนและภาคี / ความสัมพันธ์กับคนในพื้นที่ น้ำชา: ทีมที่เข้มแข็ง + ข้อมูลจากคนในพื้นที่ = การช่วยเหลือที่มีประสิทธิภาพ
  4. การสังเคราะห์และระดมแนวทางพัฒนา ผู้เข้าร่วมทุกคนช่วยกันต่อยอดจากประสบการณ์ เพื่อวางแนวทางการพัฒนาหลักสูตรและระบบข้อมูล เช่น • พี่ปิ๋ว: เน้นการรู้จักคนในพื้นที่และการเตรียมร่างกาย • พี่กรุง: เสนอระบบจัดทีมตามความถนัดและฐานข้อมูลทีม • พี่เหลิม: แยกความต้องการของผู้ประสบภัยกับสิ่งที่ชุมชนทำได้เอง • ศรี พิชยา: เสนอให้ใช้วิทยุสื่อสารในพื้นที่ต้นน้ำเมื่อสัญญาณโทรศัพท์ขาด • พี่กานต์: เสนอการทำ “ฐานข้อมูลผู้ช่วยเหลือ–ผู้ประสบภัย–พื้นที่” • พาชร: เสนอให้รวมองค์ความรู้จากอาสาภาคสนามเป็นกรณีศึกษาในหลักสูตร • พี่เอ็ม: เปรียบสถานการณ์เป็น “สงครามกับธรรมชาติ” เน้นทีมเวิร์กและสติ • พี่ต๊อก: ชี้ความสำคัญของเสบียงและกำลังใจ • พี่อ้วน: เสนอ โครงสร้างข้อมูล 3 มิติ → คน / เครื่องมือ / กระบวนการ • อ.นุ้ย: สรุปภาพรวมว่า นี่คือการเรียนรู้เชิงปฏิบัติจริง สู่การสร้างระบบข้อมูลภัยพิบัติที่ชุมชนใช้ได้จริง
  5. สรุปภารกิจและแนวทางต่อเนื่อง • ทีม AI for Highland จะออกแบบ เทมเพลตระบบข้อมูลภัยพิบัติ สำหรับบันทึกผู้ช่วยเหลือ ผู้ต้องการความช่วยเหลือ และพื้นที่ • สร้าง แผนที่พื้นที่เปราะบาง (Area Mapping) และ Human Mapping เพื่อเห็นความเชื่อมโยงของเครือข่าย • เตรียมจัด ฟอรั่ม (Forum) เพื่อดึงหน่วยงานภาคีมาร่วมวางแผนป้องกันภัยร่วมกัน • ผู้เรียนอาสานำข้อมูลเข้าระบบและช่วยพัฒนาเทมเพลตข้อมูลกลาง
circle
ผลที่เกิดขึ้นจริงผลผลิต (Output) / ผลลัพธ์ (Outcome) / ผลสรุปที่สำคัญของกิจกรรม

ผลผลิต (Outputs) จากการดำเนินกิจกรรม Workshop ครั้งที่ 2 ได้เกิดผลผลิตสำคัญหลายประการ ทั้งในด้านองค์ความรู้ เครื่องมือ ทีมงาน และแนวทางพัฒนาระบบข้อมูลเพื่อรองรับสถานการณ์ภัยพิบัติ ดังนี้ 1. เกิดแนวทางพัฒนา “ฐานข้อมูลภัยพิบัติภาคประชาชน” โดยผู้เรียนและทีมภาคสนามได้ร่วมกันออกแบบกรอบข้อมูลเบื้องต้น แยกเป็นสามส่วน ได้แก่ ข้อมูลผู้ประสบภัย ข้อมูลผู้ช่วยเหลือ และข้อมูลพื้นที่ เพื่อให้สามารถเชื่อมโยงกันและใช้วิเคราะห์สถานการณ์ได้จริงในอนาคต 2. มีการกำหนดโครงสร้างเทมเพลตข้อมูลเบื้องต้น จากข้อเสนอของพี่อ้วน ที่ให้แบ่งข้อมูลเป็นสามหมวดหลัก คือ “คน–เครื่องมือ–กระบวนการ” ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการออกแบบระบบจัดเก็บข้อมูลและการประสานงานภาคสนามได้ 3. เกิดการรวมทีมภาคสนามและทีมสนับสนุนข้อมูลอย่างเป็นระบบ ผู้เรียนที่อยู่ทั้งในและนอกพื้นที่ได้ประกาศอาสาเข้าช่วยป้อนข้อมูลเข้าสู่ระบบ และร่วมเป็นทีมต้นแบบในการพัฒนาเทมเพลตฐานข้อมูลร่วมกับทีม AI for Highland 4. ได้ชุดกรณีศึกษา (Case Study) จากสถานการณ์จริง คือเหตุการณ์น้ำท่วมจังหวัดน่าน พ.ศ. 2568 ซึ่งถูกนำมาถอดบทเรียนในเชิงระบบ ทำให้หลักสูตรมีฐานข้อมูลและตัวอย่างจริงสำหรับการเรียนรู้ต่อยอดในอนาคต 5. มีการใช้เครื่องมือเทคโนโลยีจริงในการติดตามและวิเคราะห์สถานการณ์ เช่น Windy, iWater.net และ GIS Mapping เพื่อประกอบการเรียนรู้และจำลองกระบวนการติดตามภัยพิบัติด้วยข้อมูลจริง 6. เกิดแผนการจัดฟอรั่ม (Forum) ความร่วมมือข้ามภาคส่วน เพื่อเชิญหน่วยงานภาครัฐ ภาคประชาชน และเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง เข้ามาร่วมออกแบบระบบข้อมูลและแนวทางป้องกันภัยร่วมกันในระดับพื้นที่

ผลลัพธ์ (Outcomes) 1. ผู้เรียนเข้าใจสถานการณ์ภัยพิบัติจากของจริง และตระหนักถึงความซับซ้อนของการจัดการน้ำในพื้นที่สูง การได้ฟังรายงานจากทีมภาคสนามที่ปฏิบัติจริง ณ ศูนย์ปฏิบัติการภัยพิบัติภาคประชาชน จ.น่าน ทำให้ผู้เรียนเห็นภาพรวมของการเผชิญเหตุและการฟื้นฟูอย่างรอบด้าน เกิดความเข้าใจเชิงระบบ ทั้งในแง่ภูมิประเทศ สภาพอากาศ และโครงสร้างชุมชน ผู้เข้าร่วมสะท้อนว่า “เราได้เห็นคนแก่ที่ลำบากจริง ๆ ไม่มีใครดูแล เห็นแล้วก็รู้สึกดีที่ได้ช่วย ได้บุญ ได้พลังใจ” ซึ่งสะท้อนถึงการเกิด Empathy และแรงบันดาลใจในการทำงานเพื่อผู้อื่น 2. ผู้เรียนพัฒนาทักษะการวิเคราะห์สถานการณ์และการตัดสินใจในภาวะวิกฤต ผ่านบทเรียนจากทีมภาคสนาม เช่น การประเมินสถานการณ์ล่วงหน้า การเลือกอพยพคนเปราะบาง และการค้นหาผู้ตกสำรวจ ทำให้ผู้เรียนเห็นความสำคัญของข้อมูลและการตัดสินใจบนพื้นฐานของข้อเท็จจริง พี่อ๋อกล่าวว่า “ถ้าประเมินสถานการณ์ได้ก่อน จะเตรียมตัวได้ทัน และช่วยคนเปราะบางได้ปลอดภัย” ซึ่งชี้ให้เห็นถึงการเรียนรู้เชิงปฏิบัติที่แปรเป็นทักษะการจัดการวิกฤตจริง 3. เกิดความเข้าใจเรื่อง “สติ ทีมเวิร์ก และข้อมูลที่ถูกต้อง” ในการทำงานภาคสนาม ผู้เข้าร่วมตระหนักว่าการทำงานช่วยเหลือไม่ใช่เพียงแรงใจหรือความตั้งใจ แต่ต้องมีระบบข้อมูลและทีมงานที่เชื่อใจกันได้ พี่แอนกล่าวว่า “ถ้าขาดสติ มีแต่ใจอยากช่วย มันจะไม่ใช่จุดแข็งของเรา... ต้องมีทีมที่ฟังกันและมองไปในเป้าหมายเดียวกัน” — ซึ่งเป็นผลลัพธ์สำคัญด้านการเรียนรู้ภายในทีม 4. เกิดการเรียนรู้เรื่องการดูแลตนเองและการสร้างเครือข่ายความร่วมมือ จากการถอดบทเรียนของน้องไดมอนด์และน้องน้ำชา ผู้เรียนหลายคนตระหนักว่า ผู้ช่วยเหลือต้องดูแลตนเองให้ได้ก่อน เพื่อไม่กลายเป็นภาระในสถานการณ์วิกฤต และเครือข่ายภาคีในพื้นที่เป็นทรัพยากรสำคัญของการปฏิบัติงาน ข้อความหนึ่งที่สะท้อนชัดคือ “เราต้องดูแลตัวเองไม่ให้เป็นผู้ประสบภัยเสียเอง และต้องมีเครือข่ายในพื้นที่ที่ให้ข้อมูลได้ทันที” 5. เกิดการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างผู้เรียนและทีมปฏิบัติจริง การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างทีมภาคสนามและผู้เรียนออนไลน์ ทำให้เกิดความเข้าใจในบทบาทของแต่ละฝ่าย และสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ร่วมกันแบบ co-learning ผู้เข้าร่วมท่านหนึ่งกล่าวว่า “แต่ละคนมีความถนัดของตัวเอง ถ้ารู้ว่าใครทำอะไรได้ และช่วยกันได้ตรงจุด ก็จะจัดทีมได้อย่างมีประสิทธิภาพ” 6. เกิดการพัฒนาแนวคิดระบบข้อมูลภัยพิบัติแบบมีส่วนร่วม จากข้อเสนอของผู้เข้าร่วม เช่น การทำฐานข้อมูลผู้ประสบภัย–ผู้ช่วยเหลือ–พื้นที่ และการใช้เครื่องมือเทคโนโลยี เช่น GIS, Windy, iWater.net ร่วมกับข้อมูลภาคสนาม พี่กานต์เสนอว่า “เราควรมีลิสต์ข้อมูลติดต่อประสานไว้ล่วงหน้า เมื่อพยากรณ์เตือน เราจะได้คุยกับหมู่บ้านเหล่านี้ได้ทัน” — ซึ่งเป็นผลลัพธ์เชิงระบบที่นำไปสู่การออกแบบฐานข้อมูลชุมชนอย่างแท้จริง 7. เกิดการตระหนักรู้ร่วมกันว่าภัยพิบัติไม่ใช่เหตุการณ์เล็ก แต่เป็น “สงครามกับธรรมชาติ” ที่ต้องรับมือด้วยสติและความร่วมมือ คำของพี่เอ็มที่กล่าวว่า “สถานการณ์นี้เหมือนสงครามกับธรรมชาติ เราต้องมีทีมเวิร์ก มีกำลังใจ และสติ” ถูกหยิบยกขึ้นมาหลายครั้งในห้องเรียน เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ผู้เรียนมองเห็นคุณค่าของการเตรียมพร้อมเชิงจิตใจและการพึ่งพาอาศัยกัน 8. หลักสูตร AI for Highland Water Solution ก้าวสู่การเป็นต้นแบบการเรียนรู้จากสถานการณ์จริง การรวมข้อมูลภาคสนาม การสะท้อนบทเรียน และการสังเคราะห์เชิงระบบ ทำให้หลักสูตรนี้มีลักษณะของ “หลักสูตรภาคสนามจริง (Real Situation Learning Model)” ที่สามารถต่อยอดสู่การสร้างหลักสูตรอาสาสมัครภัยพิบัติและการจัดการน้ำแบบบูรณาการได้ในอนาคต