directions_run

การออกแบบการจัดการน้ำอัจฉริยะในพื้นที่เกษตรกรรมบนภูเขาด้วย AI และภูมิปัญญาท้องถิ่น Smart Water Management Design in Highland Agriculture using AI and Indigenous Knowledge (Non-Degree Certificate Program)

วิเคราะห์ข้อจำกัดพื้นที่และวางแผนออกแบบ ติดตั้งระบบน้ำจริงร่วมกับชุมชน3 กันยายน 2568
3
กันยายน 2568รายงานจากพื้นที่ โดย ธันยพร เปรมปรี
circle
กิจกรรมที่ปฎิบัติรายละเอียดของการทำกิจกรรมที่ได้ปฎิบัติจริง

วันที่ 1: 3 กันยายน 2568 ช่วงเช้า (8:00-12:00 น.) ทีมวิทยากรประกอบด้วย อ.เอื้อมพร ลอยประดิษฐ์ อ.อาบอำไพ รัตนภาณุ นายธีระชัย ปัญโญ (หัวหน้าพมพ.6) และนายชัยรัตน์ เลิศวรรณเอก (กรรมการตัดสินกาแฟ) เริ่มกิจกรรมด้วยการแนะนำแนวคิดหลัก "น้ำในที่สูงส่งผลถึงคนข้างล่าง" และการพัฒนาระบบจัดการน้ำอัจฉริยะ โดยมีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์จากเจ้าของพื้นที่ โดยเฉพาะพ่อเอนกที่นำเสนอแปลงซึ่งเคยประสบปัญหาดินถล่มทับปั๊มน้ำ 4 เมตร แต่สามารถฟื้นฟูได้จนมีผลผลิตหลากหลาย ดักตะกอนดินได้ 20 ซม.-2 เมตร และแชร์ปรัชญา "เริ่ม-รอด" ที่เน้นการทำเพื่อลูกหลาน พี่นุ้ยวิเคราะห์ระดับความพร้อม 3 ระดับ คือระดับครัวเรือน (ขุนสถาน) ระดับชุมชน (มณีพฤกษ์ที่รอดได้เป็นปีถ้าถนนตัดขาด) และระดับเชื่อมภายนอก และนำเสนอโมเดล "กาแฟฟื้นป่าแลกโซล่าปั๊ม" ที่เป็นการแลกเปลี่ยนไม่ใช้เงิน พร้อมทั้งโครงการ AI for Highland Water Solution เพื่อเก็บข้อมูลและพิสูจน์ความยั่งยืน โดยมีแปลงเข้าร่วมจากมณีพฤกษ์ 6 แปลง ขุนสถาน 6 แปลง และพื้นที่อื่นๆ รวมกว่า 70 ราย เวลา 11:30 น. อ.ณัฐพงษ์ มณีกร นำทีมสำรวจพื้นที่จริง 2 แปลง ได้แก่แปลงพ่อทวีชัยที่มีการวิเคราะห์สันปันน้ำภูเขาและคำนวนว่าพื้นที่ 20 ไร่สามารถเก็บน้ำได้ 40,000 คิว โดยเน้นหลักการที่ว่าทางออกของน้ำต้องเป็นดินเดิมไม่ใช่ดินถม และแปลงนายพงษ์ศักดิ์ โชติอัศววงค์ ที่มีโจทย์เน้นการท่องเที่ยวโดยต้องเบี่ยงน้ำจากถนนไปคลองไส้ไก่และไม่ให้น้ำทะลัก ช่วงบ่าย (13:00-18:00 น.) ทีมแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มปฏิบัติงาน กลุ่มแรกเรียนรู้เรื่องโซล่าเซลล์โดยคำนวนการใช้งานและเตรียมติดตั้งอุปกรณ์ ส่วนกลุ่มที่สองทำงานขุดคลองไส้ไก่ตามโจทย์จาก อ.ณัฐพงษ์ มณีกร ที่ต้องดักน้ำจากถนนและลาน ไม่ให้น้ำทะลักทำลายพื้น และใช้ประโยชน์จากน้ำให้สูงสุด กิจกรรมปิดด้วยวงสรุปที่พี่นางเพ็ญศรี โชติอัศววงค์ แสดงความขอบคุณทีมที่มาช่วยอย่างซาบซึ้งจนร้องไห้

วันที่ 2: 4 กันยายน 2568 ช่วงเช้า (8:30-12:00 น.) กลุ่มโซล่าเซลล์เข้าห้องเรียนทบทวนทฤษฎีและเรียนใช้ประโยชน์จาก AI ในการคำนวนต่างๆ หลังจากนั้นทำงานต่อท่อทั้งคืนเพื่อติดตั้งระบบให้เสร็จสมบูรณ์ ขณะที่กลุ่มคลองไส้ไก่ขุดคลองต่อจากเดิมให้ลงหนองตามโจทย์ พร้อมปลูกแฝกเพื่อยึดดิน ทำฝายชะลอน้ำ และแต่งคลองให้สมบูรณ์ โดยสามารถทำสำเร็จจนน้ำถึงแปลงพอดี 12:00 น. ตรง ช่วงบ่าย (13:45-18:00 น.) อ.อาบอำไพ รัตนภาณุ สรุปงานโดยถามทั้งสองกลุ่มเกี่ยวกับสิ่งที่ได้ทำและหลักการออกแบบ ซึ่งทุกกลุ่มตอบว่ามี 3 ขั้นตอนคือ สำรวจพื้นที่ก่อนโดยดูทิศทางน้ำ แสง และปัจจัยต่างๆ โดยโจทย์ใหญ่คือต้องเห็นน้ำ จากนั้นออกแบบโดยคำนึงถึงการทำให้น้ำอยู่กับที่นานที่สุดและสวยงามด้วย และลงมือทำโดยแบ่งงานกันปลูกแฝก ทำฝาย ทำหลุมขนมครก ทำ Creek และคำนวนระยะทางความสูง อ.ณรงฤทธิ์ บุญหนัก อธิบายเทคนิคว่าโซล่าเซลล์สามารถดันน้ำได้ 8 บาร์ซึ่งมากกว่าไฟฟ้าที่ดันได้ 7.5 บาร์ โดยแผงโซล่าราคา 25,000 บาท ใช้ได้ 25 ปี คิดเป็นวันละประมาณ 3 บาทเท่านั้น ขณะที่ไฟฟ้าคิดชั่วโมงละ 10 บาท ส่วน อ.ณัฐพงษ์ มณีกร สรุปว่าประทับใจที่ทุกคนเข้าใจหลักการสำคัญของการจัดการน้ำบนที่สูงคือการบังคับด้วยคลอง และเน้นย้ำว่าน้ำต้องไหลช้าที่สุด สโลปต้องไปเกิน 1 ซม. พร้อมทั้งบอกว่าการเล็งและการดูระดับเป็นทักษะที่ AI ช่วยไม่ได้

วันที่ 3: 5 กันยายน 2568 ช่วงเช้า (8:30-12:15 น.) มีคนนอกกลุ่มนำพลับมาขายให้เห็นเป็นตัวอย่าง ซึ่งเก็บได้ 100 กก./ต้น ขายโลละ 25 บาท โดยไม่ได้ใส่ปุ๋ย แตกต่างจากพืชอื่นที่ต้องใช้ปุ๋ยปีละเกือบแสนบาท อ.เอื้อมพร ลอยประดิษฐ์ นำเสนอการวิเคราะห์รายรับ-รายจ่ายจากตัวอย่างบ้านปางแกที่มีครอบครัว 11 คน ใช้จ่ายรวม 242,610 บาท/ปี (22,000 บาท/เดือน) โดยค่าปุ๋ยขี้รวม 79,400 บาท/ปี และเน้นแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงที่ว่าไม่จำเป็นต้องทำได้ทุกคนแต่ให้รวมกลุ่มกันทำ พร้อมทั้งเสนอแนวคิด "เศรษฐกิจ 2 ขา" คือค้าขายได้และปลูกมีพออยู่พอกิน อ.อาบอำไพ รัตนภาณุ นำเสนอแผนการปฏิรูปประเทศที่ต้องมีความร่วมมือจาก 3 ภาคส่วน คือภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ซึ่ง "การยื่นมือมาจับกันคือสิ่งที่เรากำลังทำ เรากำลังสร้างกลไก" หลังพักเบรค อ.อาบอำไพ รัตนภาณุ เปิดคลิปพี่พาชรเกี่ยวกับการเชื่อมโยงกาแฟกับภายนอก โดยเน้นว่ามีหลายพื้นที่ในน่านประสบปัญหาดินถล่มและต้องรวมตัวกันทำงาน เช่นกรณี Gem Forest ที่ขายกาแฟระดมทุนช่วยสร้างบ้านให้คนที่ดินถล่มทับ แนวคิดสำคัญคือ "กาแฟเป็นแค่เครื่องมือที่เราคุยกับคนอื่นได้มากมาย" และ "ใช้กาแฟเป็นเครื่องมือมาทำให้บ้านเราปลอดภัย" พี่เจอธิบายว่ากาแฟมณีพฤกษ์มีคุณภาพสูงมากจนเป็น 1 ใน 5 หรือ 1-3 อันดับในทุกการแข่งขัน แต่ปัญหาคือปริมาณน้อยทำให้ไม่โด่งดังเท่าที่ควร และมีปัญหาเฉพาะคือต้องคั่วหลายรอบมากเพราะเนื้อเมล็ดแน่นกว่าที่อื่น เนื่องจากต้นอยู่ในป่านายวรเทพ อนุวงศ์ประพันธ์ แชร์ว่าปลูกกาแฟเกอิชา 10 ไร่ ค่าใช้จ่าย 100,000 บาท/ปี ไม่ฉีดยาฆ่าหญ้าเพราะจะทำให้ดินและรสชาติเสีย ส่วนพี่พะที่อยู่ในสวนกาแฟและต้องดู 2 รอบ/วัน เล่าว่าเคยถามคนที่ป่วยจากการใช้สารเคมีว่าถ้าตายห่วงอะไรที่สุด ได้คำตอบว่า "ห่วงสวน กลัวรก" ทำให้เขาตระหนักว่า "ขนาดจะตายแล้วเค้ายังคิดจะใช้เคมีอยู่เลย" นายเอนก แสนซุ้ง นำเสนอแผนการตลาดที่จะแปรรูปฟักทองและเปิดตลาดที่โรงพยาบาลน่าน หลังจากนั้นปักหมุดคนทำจริง 10 ครัวเรือนที่ตั้งเป้าลดรายจ่าย 500-2,000 บาท/เดือน และเพิ่มรายได้ 500-3,000 บาท/เดือน พร้อมพื้นที่อื่นๆ รวมกว่า 70 ราย นายเอนก แสนซุ้ง เน้นว่า "ทุกอย่างจะรอดหรือไม่รอด อยู่ที่ฐานข้อมูล" ช่วงบ่าย (12:15-16:00 น.) แบ่งกลุ่มทำงาน 5 กลุ่ม (หัวหน้าทีม) ประกอบด้วย สัมภาษณ์ 10 แกนนำ (อ.สลิลพัชร โรจนาภินันทน์) จัดของที่จะเอาไปจุฬา (อ.กัลยารัตน์ กาญจนพังคะ) กาแฟ (อ.อาบอำไพ รัตนภาณุ) ทำแบนเนอร์และถ่ายภาพ (อ.สุชาดา เพ็งชนะ) และทำคู่มือฐานข้อมูลสินค้า (นางสาวศรีลัดดา เทพารักษ์) เวลา 15:00 น. เสนอแผนตามกลุ่ม และปิดท้ายด้วยอาหารวัฒนธรรมเวลา 16:00 น.

วันที่ 4: 6 กันยายน 2568 ช่วงเช้า-บ่าย (7:00-18:00 น.) ออกเดินทางจากมณีพฤกษ์เวลา 8:30 น. ไปบ้านขุนสถานและถึง 12:00 น. หลังจากรับประทานอาหารเที่ยงแล้วเคลื่อนตัวไปโรงเรียนประกิตเวลา 14:00 น. โดยมีบิวตี้ ลูกสาวของนายเอนก แสนซุ้ง และเพื่อนๆ แสดงต้อนรับ และมีการเรียนรู้แบ่งเป็น 3 กลุ่มคือ ทำพิซซ่าม้ง สานตะแหล๋ว และทำน้ำมันจากขยะพลาสติก เวลา 15:40 น. ทีมเคลื่อนตัวไปแปลงนายเอนก แสนซุ้ง เพื่อสำรวจทางน้ำไหล วัดตะกอนดินในหนองและนา และปลูกหญ้าแฝกตามคันดิน ช่วงค่ำ (19:00-22:00 น.) จัดวงสะท้อนภายใต้คำถาม "เห็นโอกาสอะไรบ้าง" ผู้เข้าร่วมสะท้อนว่าเห็นการพัฒนาของแปลงที่มีของกินมากขึ้น ได้เรียนรู้การกักตะกอนดินและน้ำโดยแค่ดูทางน้ำว่าจะกักตรงไหน เห็นว่ากล้วยเป็นพืชพี่เลี้ยง และพืชผลขึ้นง่ายจริง อ.ณรงฤทธิ์ บุญหนัก ชี้ว่าเห็นปริมาณน้ำที่ไหลทิ้งไปเยอะมาก ถ้าดักได้ทั้งหมดจะดีมาก และสำหรับพื้นที่เปิดใหม่คิดว่าปีเดียวก็จะเห็นภาพที่ต่างออกไป นายสุพจน์ คำจาย สรุปว่า "แค่เบี่ยงไปนิดเดียว ก็กักมันได้แล้ว"นายกัมปนาท ทองชาย สังเกตว่าข้าวที่อยู่ในแปลงที่มีตะกอนโตดีกว่าที่อื่นๆ อ.อาบอำไพ รัตนภาณุ ให้ข้อคิดว่าทุกอย่างเป็นไปตามแผนซึ่งเป็นทั้งโอกาสและความเสี่ยง และ "จากวันที่ขุด นับถอยหลังทุกครั้งที่ฝนตก คือนับวันที่จะสูญเสียโอกาสในการฟื้นฟูดิน" อ.อาบอำไพ รัตนภาณุถามนายชวนากร แสนซุ้ง ว่าคิดว่าใครควรมาเรียนซึ่งได้คำตอบว่า "อยากให้มาเรียนทุกคนเลย" และเน้นว่า "ถ้าพายุมาอีกลูกหรือสองลูก อาจจะฟื้นฟูไม่ทันแล้ว ต้องรีบทำให้ลูกนี้สมบูรณ์ สำคัญอยู่ที่ความละเอียดจริงๆ" และ "เวลามีจำกัด ต้องเร่ง" นายเอนก แสนซุ้ง ตอบรับว่าจะนำทั้งคำชม คำติ คำเตือน ไปทำในแปลงให้ดีที่สุด แม้เคยเหนื่อยจนร้องไห้คนเดียวในสวนและคิดจะเลิกทำ แต่ได้กำลังใจจากเพื่อนเลยกลับมาสู้ เพราะ "จะทำเป็นตัวอย่างของชาติพันธุ์และของหมู่บ้านให้ได้" อ.ณัฐพงษ์ มณีกร ชื่นชมว่าแปลงนี้ยากตั้งแต่ออกแบบและขุดเพราะชัน คนที่นี่และญาติพี่น้องก็ไม่ง่าย ความคาดหวังของคนเยอะ แต่ประทับใจที่ฟักทองลูกเบอเร่อและกล้วยงามขนาดนั้นในดินที่ไม่น่าจะปลูกได้ ซึ่งเกิดขึ้นแค่ช่วงฝนนี้แม้ยังเก็บน้ำฝนไม่ได้ ท้ายที่สุดแนะนำว่า "ไม่ต้องเครียด เราต้องรู้ตัวเอง เข้าใจ ใช้เวลาตอนฝนตกจะเห็นเลยว่าน้ำไหลไปทางไหน" และตั้งคำถามว่าทีมดึงนายเอนก แสนซุ้งไปข้างนอกจนไม่มีเวลาอยู่สวนรึเปล่า แต่ก็ให้กำลังใจว่า "ไปกันต่อ"

วันที่ 5: 7 กันยายน 2568 ตลอดวัน แบ่งทีมออกเป็น 3 กลุ่มปฏิบัติงานควบคู่กัน กลุ่มแรกนำโดย นายบุญช่วย วรวุฒิไพศาล อ.ณัฐพงษ์ มณีกร และนายพิทักษ์ บุญปลอด สำรวจพื้นที่แปลงนายบุญช่วย วรวุฒิไพศาลและทำบ้านอ.ยักษ์ กลุ่มที่สองนำโดยนายเอนก แสนซุ้ง นายไชยวัฒน์ กองอาสา นายรวีกิตติ์ ฤกษ์สกุลวงศ์ และนายณฐกร ทิวาเวช ขุดคลองไส้ไก่แปลงนายเอนก แสนซุ้ง ต่อ และกลุ่มที่สามนำโดย อ.ณรงฤทธิ์ บุญหนัก อ.สุชาดา เพ็งชนะ นางสาวกุลจิรา สุขศรีทอง นางสาวกิตติภา จันทร์เพ็ญ ซึ่งเป็นตัวแทนของทีมอช.ศรีน่าน สัมภาษณ์นางรัตมณี วรวุฒิไพศาล เรื่องปักผ้าและนายชวกร เรื่องแปลงอโวคาโด้

circle
ผลที่เกิดขึ้นจริงผลผลิต (Output) / ผลลัพธ์ (Outcome) / ผลสรุปที่สำคัญของกิจกรรม

ผลผลิต (Output) 1. ความรู้และทักษะที่ถ่ายทอด ด้านการจัดการน้ำ ผู้เข้าร่วมได้เรียนรู้หลักการสำรวจพื้นที่โดยการอ่านทางน้ำ การดูแนวสโลปและคอนทัวร์ รวมถึงการใช้เครื่องมือง่ายๆ อย่าง A-Frame และขวดน้ำในการวัดระดับบนพื้นที่ที่มีความลาดเอียงสูง ซึ่งเป็นทักษะที่ท้าทายและต้องอาศัยการฝึกฝนจริง การออกแบบคลองไส้ไก่ต้องคำนึงถึงความลาดชันที่เกิน 1 เซนติเมตร มีส่วนเว้า-โค้ง ลึก-ตื้น หลุม-แอ่ง และฝายชะลอน้ำ เพื่อให้น้ำไหลช้าที่สุด ไม่กักแต่ชะลอการไหล นอกจากนี้ยังได้เรียนรู้เทคนิคการดักตะกอนดิน การสร้างหนองเก็บน้ำฝนและหนองกระจาย และการทำ Creek ซึ่งเป็นทางน้ำผ่านใต้ทางรถแบบลูกระนาด ซึ่งดินตะกอนที่ดักได้สามารถนำไปใช้ทำดินปลูก ปุ๋ย หรือเพาะปลูกได้ สิ่งสำคัญที่ผู้เรียนค้นพบคือ การทำงานบนพื้นที่ที่ถูกปรับใหม่ต้องเผชิญกับปัญหาดินยังไม่เซ็ตตัว ทำให้ต้องมีเทคนิคการ "ตั้งครรภ์ดิน" ให้ใหญ่และสูงเผื่อการยุบตัวในอนาคต และการขุดคลองเพื่อดักตะกอนที่จะไหลลงมา ด้านพลังงานทดแทน ผู้เข้าร่วมได้ฝึกปฏิบัติจริงในการติดตั้งระบบโซล่าเซลล์ปั๊มน้ำ ตั้งแต่การคำนวณขนาดแผง การติดตั้งปั๊ม ไปจนถึงการวางท่อ โดยใช้ AI ช่วยคำนวณปริมาตรน้ำ ความสูง ระยะทาง และแรงดันน้ำ (ทุก 10 เมตร เท่ากับ 1 บาร์) ได้เรียนรู้ว่าแผงโซล่าเซลล์ราคา 25,000 บาท สามารถใช้งานได้นาน 25 ปี คิดเป็นค่าใช้จ่ายเพียงวันละ 3 บาท และมีประสิทธิภาพดันน้ำได้ถึง 8 บาร์ เทียบกับไฟฟ้าที่ดันได้ 7.5 บาร์ เท่านั้น ซึ่งเหมาะสมกับพื้นที่ที่ไม่มีไฟฟ้าหรือไฟฟ้าไม่เสถียร นายจำลอง เรียนรู้ว่าปั๊มโซล่าเซลล์ตัวเล็กๆ สามารถปั๊มน้ำได้ถึง 1,000 เมตร แรงกว่าปั๊มน้ำมันที่เคยใช้ถึง 10 เท่า และคุ้มค่ากว่ามาก อย่างไรก็ตาม ผู้เรียนได้ค้นพบข้อจำกัดสำคัญคือ ปัญหาแสงน้อยในเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม ระยะทางการติดตั้งที่ไกล ความยากในการหาอุปกรณ์ท่อที่ต้องสั่งมาไกล และการขออนุญาตในเขตอุทยานหรือกรมป่าไม้ ซึ่งนำไปสู่ข้อเสนอแนะในการพัฒนาชุดเก็บไฟฟ้าสำรองไว้ใช้ช่วงฝนเพื่อช่วยประหยัดไฟ และการสร้างต้นแบบระบบโซล่าเซลล์ที่เหมาะสมกับบริบทท้องถิ่น ด้านเศรษฐกิจครัวเรือน มีการวิเคราะห์รายรับ-รายจ่ายอย่างละเอียดจากตัวอย่างหลากหลายครัวเรือน เช่น บ้านปางแก ครอบครัว 11 คน มีรายจ่าย 242,610 บาทต่อปี หรือประมาณ 22,000 บาทต่อเดือน โดยค่าปุ๋ยเคมีเพียงอย่างเดียวสูงถึง 79,400 บาทต่อปี ครอบครัวนางเพ็ญศรี โชติอัศววงค์ ที่บ้านมณีพฤกษ์ มีรายได้จากกาแฟปีละ 70,000-80,000 บาท และรายได้เสริมจากงานรับจ้าง 50,000 บาทต่อปี แต่ต้องลงทุนค่าปุ๋ยอินทรีย์ 30,000 บาทและค่าแรงงาน 30,000 บาทต่อปี พร้อมแบกรับหนี้สิน 730,000 บาท นายมานะ กำเนิดมงคล มีรายได้จากกะหล่ำปีละ 30,000-40,000 บาท แต่ต้นทุนสูงมาก โดยเฉพาะค่าเมล็ดพันธุ์ ปุ๋ย และยาฆ่าหญ้า จนมีหนี้ ธกส. ประมาณ 200,000 บาท ส่วนนายชวกร ศุภสันต์สกุล มีรายได้เสริมจากร้านอาหารและร้านเช่าชุดกว่าหนึ่งแสนบาทต่อปี จากการวิเคราะห์เหล่านี้ ผู้เข้าร่วมเห็นแนวทางในการลดรายจ่ายและเพิ่มรายได้ โดยการผลิตอาหาร ปุ๋ย และพลังงานเองในพื้นที่ ลดการพึ่งพาภายนอก และสามารถคำนวณ "ตุ่มรูรั่ว" ของแต่ละครัวเรือนได้ชัดเจน ผู้เรียนยังได้เข้าใจปัญหาเชิงโครงสร้างของเกษตรพื้นที่สูงอย่างลึกซึ้ง เช่น ดินที่เสื่อมสภาพจากการใช้สารเคมีมานาน แข็ง ขาดธาตุอาหาร จนต้องเว้นแปลงไว้พักเป็นปีๆ ปัญหาแรงดันน้ำไม่พอจากระบบประปาภูเขาที่ท่อยาวไกล ค่าแรงงานที่สูงจนทำนาไม่คุ้มทุน และความไม่แน่นอนของราคาตลาดที่ทำให้เสี่ยงสูง 2. แกนนำที่เกิดขึ้น โครงการได้ "ปักหมุด" แกนนำคนทำจริงทั้งสิ้น 40 กว่าราย กระจายใน 10 หมู่บ้านทั่วจังหวัดน่าน โดยแต่ละรายมีเป้าหมายลดรายจ่ายและเพิ่มรายได้ที่ชัดเจน และที่สำคัญคือมีพื้นฐานและประสบการณ์ที่หลากหลาย ทำให้เกิดการเรียนรู้แบบแลกเปลี่ยนที่ลึกซึ้ง บ้านมณีพฤกษ์มี 5 ราย นำโดยนายทวีชัย กำเนิดมงคล นายพิเชฐ กล้าพิทักษ์ เทพพิชิต อนุวงค์ประพันธ์ (พ่อนาย) ที่จบการศึกษาด้านพืชศาสตร์และมีประสบการณ์ทำงานเป็นบรีดเดอร์ในบริษัทเมล็ดพันธุ์เกือบ 10 ปี ซึ่งเขากำลังสร้าง "คลังพันธุกรรม" รวบรวมพันธุ์ข้าวพื้นเมืองของม้งและพืชพื้นเมืองอื่นๆ ไว้ให้คนรุ่นหลัง พร้อมวางแผนปรับพื้นที่ 12 ไร่เป็นนาขั้นบันไดและอีก 9 ไร่ปลูกชา นางเพ็ญศรี โชติอัศววงค์ และคุณพงษ์ศักดิ์ สามี ที่มีต้นกาแฟกว่า 5,000 ต้นที่ดูแลด้วยปุ๋ยอินทรีย์ 100% และกำลังกลายเป็นที่ปรึกษาเล็กๆ ให้กับชาวบ้านที่มาขอคำแนะนำเรื่องการทำเกษตร และนายมานะ กำเนิดมงคล ที่ดูแลครอบครัว 11 คน บนพื้นที่ 40-50 ไร่ แม้จะเผชิญปัญหาดินเสื่อมและแรงดันน้ำไม่พอ แต่ก็ยังมีความตั้งใจและความหวังที่จะพัฒนาพื้นที่ด้วยระบบโซล่าเซลล์ บ้านขุนสถานมี 4 ราย โดยมีนายเอนก แสนซุ้ง เป็นต้นแบบหลักที่มีเป้าหมายลดรายจ่าย 2,000 บาทและเพิ่มรายได้ 3,000 บาทต่อเดือน เขาเคยเรียนวิชากสิกรรมธรรมชาติที่ศูนย์กสิกรรมธรรมชาติชุมชนต้นน้ำน่านเมื่อ 4 ปีก่อน และได้ปรับพื้นที่ 7 ไร่จากภูเขาหัวโล้นเป็นนาขั้นบันได เพื่อพิสูจน์ว่า "คนม้งไม่ใช่คนทำลายป่าต้นน้ำ แต่เป็นคนรักษาต่างหาก" นายบุญช่วย วรวุฒิไพศาล อายุ 56 ปี ที่มีพื้นที่ 80 ไร่ หันมาทำโคกหนองนาบนพื้นที่ 5 ไร่ และสวนผสม 4 ไร่ ทำให้ครอบครัวสุขภาพดีขึ้นและมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับเพื่อนบ้านผ่านกิจกรรมตลาดบุญ-ทาน นายชวกร ศุภสันต์สกุล อายุ 52 ปี ที่มีพื้นที่ 30 ไร่ และเป็นกรรมการสหกรณ์หมู่บ้าน มีรายได้เสริมจากร้านอาหารและร้านเช่าชุด แม้ยังไม่ได้ปรับมาทำเกษตรกักตะกอนเต็มรูปแบบ แต่ก็อยู่ในกระบวนการเรียนรู้และพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลง และนายฮู้ อายุ 62 ปี ที่มีพื้นที่ 18 ไร่ ซึ่งดินแข็งและได้ใช้สารเคมีมานาน ตัดสินใจเริ่มต้นใหม่ด้วยการเข้าร่วมโครงการฟื้นป่าน่าน บ้านปางแกมีนายดุสิต กรธนะพาณิช อายุ 47 ปี อดีตผู้ดูแลระบบไฮโดรโปนิกส์ที่หันมาทำเกษตรอินทรีย์ 100% บนพื้นที่ 40 ไร่ ได้รับการรับรอง Organic Thailand และกำลังนำ 15 ไร่เข้าสู่โครงการฟื้นป่าน่าน เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารและฟื้นฟูพื้นที่เป็น "ป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง" นอกจากนี้ยังมีแกนนำจากนาหมื่น 7 ราย เวียงสา 3 ราย บ้านน้ำหก 6 ราย บ้านห้วยเลา 11 ราย บ้านหนองบัว 8 ราย และอำเภอเฉลิมพระเกียรติมี 21 ราย แกนนำเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงผู้เรียนรู้ แต่หลายคนกำลังกลายเป็นที่ปรึกษาชุมชนและพร้อมที่จะเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้และเป็นต้นแบบให้ชุมชนอื่นต่อไป 3. โมเดลพื้นที่เรียนรู้ แปลงนายเอนก แสนซุ้ง ที่บ้านขุนสถานเป็นต้นแบบหลักที่แสดงผลสำเร็จที่มองเห็นได้ชัดเจน ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งปี มีกล้วยงามแตกกอ ฟักทองและแตงกวาลูกใหญ่ถึง 6-7 กิโลกรัม มะนอยออมแอม และข้าวงาม โดยไม่ใช้ปุ๋ยเคมีเลย ระบบน้ำสามารถดักตะกอนดินได้ 20 เซนติเมตรในนา และ 2 เมตรในบ่อบน แม้จะเผชิญปัญหาดินสไลด์ทับปั๊มถึง 4 เมตร และแรงกดดันจากที่ทำงาน แต่ก็สามารถแก้ไขและฟื้นตัวได้สำเร็จ นายเอนก แสนซุ้ง มีแผนจะแปรรูปฟักทองเป็นเส้นก๋วยเตี๋ยว ข้าวเกรียบ และข้าวแคบ เพื่อเพิ่มมูลค่า สิ่งที่โดดเด่นของแปลงนี้คือการเป็นหลักฐานที่มีชีวิตว่า "คนม้งไม่ใช่คนทำลายป่าต้นน้ำ แต่เป็นคนรักษา" เพราะนาขั้นบันไดที่สร้างขึ้นไม่เพียงแค่ผลิตอาหาร แต่ยังเก็บรักษาตะกอนดินและน้ำไว้บนภูเขา ไม่ให้ไหลลงไปท่วมคนปลายน้ำ แปลงนายพงษ์ศักดิ์และนางเพ็ญศรี โชติอัศววงค์ ที่บ้านมณีพฤกษ์ ขนาด 4 ไร่จากทั้งหมด 20 ไร่ เน้นการท่องเที่ยวเชิงเกษตรและเกษตรผสมผสาน โดยออกแบบคำนึงถึงวิวและจุดกางเต็นท์ มีปัญหาหนองพังและน้ำทะลักทำลายพื้น ในกิจกรรมครั้งนี้ได้แก้ไขโดยขุดคลองไส้ไก่เบี่ยงน้ำจากถนน ปลูกแฝกยึดดิน ทำฝายชะลอน้ำ และทำ Creek เพื่อให้รถวิ่งได้โดยน้ำยังไหลผ่านได้ ผู้เข้าร่วมได้ลงมือทำจริงจนเห็นน้ำไหลเข้าหนองตามที่ออกแบบไว้ แต่ในกระบวนการทำงานพบว่า การขุดบนพื้นที่ที่มีหินเยอะทำให้ขุดยาก ดินเป็นหลุมเป็นบ่อน้ำขังเป็นขี้โคลน ดินติดอุปกรณ์ทำให้อุปกรณ์หนักและคนขุดเหนื่อย ซึ่งทำให้เกิดการเรียนรู้ในการจัดการทีมงาน เช่น การหมั่นทำความสะอาดอุปกรณ์เพื่อลดพลังงานคนขุด การแบ่งคนแบ่งงานแบ่งพื้นที่ให้ชัดเจนตามความถนัด และการมี "ทีมพลาธิการ" ดูแลเรื่องน้ำ ขนม อาหารให้เพื่อนๆ ที่ทำงานเหนื่อย จุดเด่นของแปลงนี้คือการทำเกษตรด้วยปุ๋ยอินทรีย์ 100% บนพื้นที่กาแฟกว่า 5,000 ต้น พร้อมผลไม้และไม้ยืนต้นที่หลากหลาย เช่น กล้วย มะนาว อะโวคาโด และต้นนางพญาเสือโคร่งกว่า 500 ต้น โดยใช้โมเดลโคกหนองนาเป็นหัวใจในการจัดการน้ำ แม้จะยังเผชิญปัญหาน้ำไม่พอในหน้าแล้งและเส้นทางถูกดินสไลด์ปิดในฤดูฝน แต่ครอบครัวก็ปรับตัวและเดินหน้าต่อ และที่สำคัญคือเจ้าของแปลงกำลังกลายเป็นที่ปรึกษาให้กับชาวบ้านที่มาขอคำแนะนำเรื่องการทำเกษตร แปลงนายทวีชัย กำเนิดมงคล ขนาด 2 ไร่จาก 14 ไร่ มีการติดตั้งระบบโซล่าเซลล์ดูดน้ำจากที่ต่ำขึ้นดอย สำเร็จภายในเวลาเพียง 2 วัน โดยมีหนองเก็บน้ำความจุ 500 คิว รองรับน้ำจากสันปันน้ำ 20 ไร่ ซึ่งสามารถเก็บน้ำได้ถึง 40,000 คิว ผู้เข้าร่วมได้ฝึกการต่อท่อทั้งคืนจนน้ำขึ้นถึงแปลงจริง ทำให้เห็นว่าเทคโนโลยีโซล่าเซลล์สามารถแก้ปัญหาพื้นที่สูงที่ไม่มีไฟฟ้าได้จริง แปลงนายดุสิต กรธนะพาณิช ที่บ้านปางแก ขนาด 40 ไร่ เป็นตัวอย่างของการเปลี่ยนผ่านจากเกษตรเคมีสู่เกษตรอินทรีย์อย่างเต็มรูปแบบ จากอดีตที่เคยปลูกกะหล่ำ ข้าวโพด ถั่วลันเตาด้วยสารเคมี และพบว่าไม่ยั่งยืน ก่อนจะหันมาเข้าร่วมโครงการหลวงในปี 2558 ปลูกผักในโรงเรือน และปัจจุบันได้รับการรับรอง Organic Thailand แปลงนี้แสดงให้เห็นว่าการฟื้นฟูดินและระบบนิเวศสามารถทำได้จริง แม้จะใช้เวลาและต้องปรับเปลี่ยนทั้งระบบการผลิต และกำลังนำ 15 ไร่เข้าสู่โครงการฟื้นป่าน่านเพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารและพัฒนาเป็น "ป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง" 4. แผนงานเชื่อมโยงภายนอก มีการวางแผนเชื่อมโยงตลาดและการกระจายสินค้าอย่างเป็นระบบ เริ่มจากวันที่ 11 กันยายน 2568 จะนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อสื่อสารกับสาธารณะและสร้างช่องทางตลาด ต่อมาจะเปิดตลาดที่โรงพยาบาลน่านสำหรับสินค้าอินทรีย์ โดยมีลูกสาวของนายเอนก แสนซุ้ง ที่ทำงานที่นั่นเป็นตัวเชื่อม และใช้ร้านรองกวางเป็นช่องทางจำหน่ายมะนอยออมแอม ผลิตภัณฑ์หลักที่พร้อมจำหน่ายคือกาแฟมณีพฤกษ์ซึ่งมีคุณภาพระดับโลก มักติดอันดับ 1-3 ในการแข่งขัน แต่ปัญหาคือปริมาณน้อยทำให้ไม่เป็นที่รู้จัก มีแผนพัฒนาการคั่วให้เหมาะสม เพราะกาแฟจากป่าต้องใช้เวลาคั่วนานกว่า น้ำดื่มจากบ้านน้ำหก ผักผลไม้อย่างฟักทอง แตงกวา มะนอยออมแอม และแผนแปรรูปผลิตภัณฑ์จากฟักทอง นอกจากนี้ยังมีโมเดล "กาแฟฟื้นป่าแลกโซล่าปั๊ม" เป็นระบบแลกเปลี่ยนไม่ใช้เงิน เชื่อมระหว่างผู้ผลิตกาแฟกับเทคโนโลยี มีเป้าหมาย 6 แปลงนำร่อง และวางแผนพัฒนารถเย็น ห้องเย็น และแพลตฟอร์มขายของตัวเองในอนาคต 5. เครื่องมือและนวัตกรรม มีการพัฒนาฐานข้อมูล "AI for Highland Water Solution" เพื่อเก็บข้อมูลปริมาณน้ำ ดินตะกอน ผลผลิต และพฤติกรรมชาวบ้านอย่างเป็นระบบ มีวัตถุประสงค์เพื่อพิสูจน์ความสำเร็จและเป็นแหล่งข้อมูลให้คนอื่นนำไปใช้ได้ โดยมีทีม AI นำโดยพี่ปิ้วรับผิดชอบ สำหรับเครื่องมือการเรียนรู้เยาวชน มีการพัฒนาหลักสูตรที่โรงเรียนประกิต เช่น การสานตะแหล๋ว ทำพิซซ่าม้ง และทำน้ำมันจากขยะพลาสติก รวมถึงการใช้โลกการ์ตูน (อนิจิน) ให้เด็กๆ ฝึกซ้อมผังน้ำในโลกจินตนาการก่อนลงมือทำจริง ทำให้การเรียนรู้น่าสนใจและเข้าใจง่ายขึ้น

ผลลัพธ์ (Outcome) 1. การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและความเชื่อมั่น ในระดับปัจเจกบุคคล เกิดความมั่นใจอย่างชัดเจนจากคำพูดของชาวบ้านที่ว่า "รอดแน่นอน เป็นปีก็รอด" เมื่อถูกถามว่าถ้าถนนตัดขาดจะอยู่รอดได้กี่เดือน ความเข้าใจเปลี่ยนจาก "ไม่เชื่อว่าปิดถนน 1 เดือนจะรอด" เป็น "มีอาหาร น้ำสะอาด พอเพียง อยู่ได้จริง" นายเอนก แสนซุ้ง แม้จะเผชิญความเหนื่อยยากจนร้องไห้ในสวนคนเดียว ถูกกดดันจากที่ทำงาน แต่ก็กลับมาสู้ต่อด้วยกำลังใจจากเพื่อนและคุณครู และมีความมุ่งมั่นที่จะทำให้สำเร็จเพื่อลูกและครอบครัว พร้อมความฝันที่จะขยายวิถีเกษตรกักตะกอนดินและน้ำไปถึงชาวม้งทั่วโลก เพื่อพิสูจน์ว่าม้งคือผู้รักษาป่าและผู้ดูแลน้ำ ในระดับครัวเรือน นายบุญช่วย วรวุฒิไพศาล ปลูกข้าวครั้งแรกโดยไม่ใช้เคมีเลยและได้ข้าวที่สวยมาก ทำให้ครอบครัวสุขภาพดีขึ้นและมีความมั่นคงในการกินอยู่ นายวรเทพ อนุวงศ์ประพันธ์ มั่นใจว่าโซล่าเซลล์ขึ้นดอยได้จริงหลังจากเห็นน้ำไหลด้วยตาตัวเอง นายจำลอง เรียนรู้ว่าปั๊มโซล่าเซลล์ตัวเล็กๆ สามารถปั๊มน้ำได้ถึง 1,000 เมตร แรงกว่าปั๊มน้ำมันที่เคยใช้ถึง 10 เท่า และคุ้มค่ากว่ามาก เทพพิชิต อนุวงค์ประพันธ์ (พ่อนาย) ผู้มีประสบการณ์ด้านพันธุกรรมพืชเกือบ 10 ปี กำลังสร้าง "คลังพันธุกรรม" รวบรวมพันธุ์ข้าวพื้นเมืองของม้งและพืชพื้นเมืองอื่นๆ ไว้ให้คนรุ่นหลัง และมีแผนจะปรับพื้นที่ 12 ไร่เป็นนาขั้นบันไดและอีก 9 ไร่ปลูกชา โดยได้แรงบันดาลใจจากเพื่อนที่บ้านปางแกซึ่งทำนาขั้นบันได 5 ไร่ ได้ข้าวกินพอทั้งปี นายดุสิต กรธนะพาณิช เปลี่ยนจากการใช้สารเคมีมาเป็นเกษตรอินทรีย์ 100% บนพื้นที่ 40 ไร่ และได้รับการรับรอง Organic Thailand แสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนผ่านทำได้จริงแม้จะใช้เวลา นายฮู้ อายุ 62 ปี ตัดสินใจเริ่มต้นใหม่บนพื้นที่ 18 ไร่ที่ดินแข็งและเคยใช้สารเคมีมานาน แสดงให้เห็นว่าไม่มีอายุไหนสายเกินไปสำหรับการเปลี่ยนแปลง ในระดับชุมชน เกิดการช่วยเหลือกันขุดคลองร่วมกัน ต่อท่อทั้งคืนจนสำเร็จ สร้างมิตรภาพและการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างชาติพันธุ์ต่างๆ ทั้งลัวะ ม้ง และคนเมือง ที่ทำงานร่วมกันได้อย่างลงตัว มีการจัดประชุมหมู่บ้านทุกเดือน กิจกรรมตลาดบุญ-ทาน และมีเยาวชนเข้ามาช่วยงานฟื้นฟูป่า ดิน และน้ำร่วมกัน ความสัมพันธ์ในชุมชนแน่นแฟ้นขึ้น และที่สำคัญคือหลายคนเริ่มกลายเป็น "ที่ปรึกษาชุมชน" เช่น นางเพ็ญศรี โชติอัศววงค์ ที่ชาวบ้านมาขอคำแนะนำเรื่องการทำเกษตร นายชวกร ศุภสันต์สกุล ที่เป็นกรรมการสหกรณ์หมู่บ้านและอยู่ในกิจกรรมตลาดบุญ-ทานอย่างสม่ำเสมอ แม้ยังไม่ได้ปรับมาทำเกษตรกักตะกอนเต็มรูปแบบ แต่ก็ยืนอยู่กับชุมชน ร่วมแรงร่วมใจ และพร้อมจะเปลี่ยนแปลงเมื่อถึงเวลาเหมาะสม 2. ความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับหลักการจัดการน้ำและข้อจำกัดของพื้นที่ ผู้เข้าร่วมเข้าใจลึกซึ้งว่า "น้ำต้องไหลช้าที่สุด" ไม่ใช่การกักน้ำไว้ แต่เป็นการชะลอการไหล นายสาธิต นุชเกษม สะท้อนว่า "ใช้เวลากับการสำรวจมากขึ้น ละเอียดมากขึ้น" เพราะถ้าเราไม่เดินดูพื้นที่ให้ทั่ว จะมองไม่เห็นการไหลของน้ำจริงๆ โดยเฉพาะบนพื้นที่ที่มีความลาดเอียงสูงซึ่งทำให้การเล็งระดับยากมาก นายกัมปนาท ทองชาย เรียนรู้ว่า "มองด้วยตามันไม่ใช่" การเล็งระดับน้ำเป็นทักษะที่ต้องฝึกฝนและต้องใช้อุปกรณ์อย่าง A-Frame ช่วย AI ช่วยคำนวณได้แต่ช่วยในส่วนนี้ไม่ได้ นายพิเชฐ กล้าพิทักษ์ เตือนว่า "ครั้งแรกถ้าทำผิด เวลาแก้มันยาก" เพราะต้องมีคนที่มีประสบการณ์ดูแลการขุด ดินต้องแน่น ระดับต้องเท่ากัน ไม่เช่นนั้นจะพังและแก้ไขยากมาก สิ่งที่ผู้เรียนค้นพบเพิ่มเติมคือ ข้อจำกัดของพื้นที่ที่ถูกปรับใหม่ ดินยังไม่เซ็ตตัว ทำให้ขุดแล้วไม่อยู่ตัว เดินยาก และไม่รู้ว่าจะยุบมากน้อยแค่ไหน ซึ่งต้องรอให้ดินเซ็ตตัวหรือคิดเผื่ออนาคตและขุดเผื่อไว้เลย เช่น การ "ตั้งครรภ์ดิน" ให้ใหญ่และสูง หรือขุดคลองเพื่อดักตะกอนที่จะไหลลงมา นอกจากนี้ยังมีปัญหาดินเป็นหลุมเป็นบ่อน้ำขัง พื้นที่มีหินเยอะทำให้ขุดยาก และดินติดอุปกรณ์ทำให้อุปกรณ์หนักและคนขุดเหนื่อย ซึ่งต้องหมั่นทำความสะอาดอุปกรณ์เพื่อลดพลังงานคนขุด ผู้เรียนยังเข้าใจปัญหาเชิงโครงสร้างของพื้นที่สูงอย่างลึกซึ้ง เช่น ดินที่เสื่อมสภาพจากการใช้สารเคมีมานาน แข็ง ขาดธาตุอาหาร จนต้องเว้นแปลงไว้พักเป็นปีๆ อย่างที่นายมานะ กำเนิดมงคลและนายฮู้เผชิญอยู่ ปัญหาแรงดันน้ำไม่พอจากระบบประปาภูเขาที่ท่อยาวไกล ทำให้น้ำไหลไม่ถึงอย่างที่ควร ค่าแรงงานที่สูงจนทำนาไม่คุ้มทุน อย่างที่เทพพิชิต อนุวงค์ประพันธ์สะท้อนว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา การทำนาข้าวไม่คุ้มทุนอีกต่อไป เมื่อก่อนปลูก 5-10 ไร่ ได้ถึง 100 กระสอบ แต่ปัจจุบันลงทุนกว่า 40,000-50,000 บาท กลับได้เพียง 20-30 กระสอบ เพราะต้องจ้างแรงงานแทนการช่วยกันในครอบครัว สุดท้ายเขาตัดสินใจเลิกทำนาและหันไปซื้อข้าวกินแทน และความไม่แน่นอนของราคาตลาดที่ทำให้เสี่ยงสูง อย่างที่นายมานะกังวลว่า "ราคาผลผลิตไม่แน่นอน ยิ่งทำเยอะยิ่งเสี่ยง" หลักการเหล่านี้ไม่ได้มาจากหนังสือ แต่มาจากการลงมือทำจริงและเรียนรู้จากข้อผิดพลาด 3. การพัฒนาระบบการทำงานร่วมกันและการจัดการทีม จากประสบการณ์การลงแปลงจริง ผู้เรียนค้นพบความสำคัญของการจัดการทีมงานที่ดี ปัญหาที่พบคือ ขาดคนดูแลประจำจุด ไม่ได้ทำตามแผนที่วางไว้ ปรับเปลี่ยนไปตามความเห็นของคนที่มาเห็นและให้ความเห็น บางคนไม่กินข้าวก่อนทำงาน ตารางลงแปลงไม่เหมาะ หิวแล้วทำงานไม่ไหว และบางคนไม่ล้างอุปกรณ์หลังลงแปลง ซึ่งนำไปสู่ข้อเสนอแนะในการพัฒนาระบบการทำงาน ได้แก่ การแบ่งคนแบ่งงานแบ่งพื้นที่ให้ชัดเจนตั้งแต่แรกตามความถนัดของแต่ละคน เมื่อมีคนเสร็จงานแล้วตนเองค่อยไปช่วยเพื่อน การมี "ทีมพลาธิการ" ดูแลเรื่องน้ำ ขนม อาหารให้เพื่อนๆ ที่ทำงานเหนื่อย การสร้างกำลังกาย กำลังใจ และกำลังปัญญาก่อนลงแปลงทุกครั้ง และการที่ทุกคนดูแลรักษาความสะอาดอุปกรณ์ของตนเอง ระบบการทำงานเหล่านี้ช่วยให้การลงแปลงมีประสิทธิภาพและสร้างความสามัคคีในทีม 4. การสร้างเครือข่ายข้ามภาคส่วน เกิดการยื่นมือจับกันระหว่างสามภาคส่วนหลัก ได้แก่ ภาครัฐที่มีองค์การบริหารส่วนตำบลพระพุทธบาท (พมพ.) อุทยานแห่งชาติศรีน่าน และโรงพยาบาลน่านเข้ามาสนับสนุน ภาคเอกชนที่มี Gem Forest โดยพี่สา กรรมการตัดสินกาแฟ และร้านกาแฟต่างๆ ที่ใช้กาแฟเป็นเครื่องมือระดมทุนช่วยเหลือผู้ประสบภัยดินถล่ม ภาคประชาชนที่มีแกนนำ 40 กว่ารายจาก 10 หมู่บ้าน และภาควิชาการที่มีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เป็นพันธมิตร นอกจากนี้ยังมีเครือข่ายระหว่างประเทศกับ V-CIL (เยาวชนเวียดนาม) ที่จะมาเรียนรู้ในเดือนธันวาคม 2568 และอารยธามที่จะมาในเดือนกุมภาพันธ์ 2569 การสร้างเครือข่ายนี้ไม่ใช่เพียงแค่การทำงานร่วมกัน แต่เป็นการสร้างกลไกที่จะขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในระดับนโยบายได้ โดยเฉพาะการประสานงานเรื่องการขออนุญาตในเขตอุทยานหรือกรมป่าไม้ซึ่งเป็นข้อจำกัดสำคัญที่ผู้เรียนค้นพบ รวมถึงการแก้ไขปัญหาการไม่มีเอกสารสิทธิ์ที่ดินซึ่งเป็นข้อจำกัดของเกษตรกรภูเขาหลายราย 5. การรับรู้บทบาทและเป้าหมายที่ชัดเจน ผู้เข้าร่วมเข้าใจชัดเจนว่าการพัฒนามีสามระดับ คือ ระดับครัวเรือนที่เน้นความมั่นคงของครอบครัว เช่น บ้านขุนสถานที่มี 6 แปลง ระดับชุมชนที่สามารถพึ่งพาตัวเองได้ทั้งหมู่บ้าน เช่น บ้านมณีพฤกษ์และบ้านห้วยเลา และระดับเชื่อมภายนอกที่มีระบบการขาย แพลตฟอร์ม รถเย็น ห้องเย็น เพื่อกระจายสินค้าออกไป มีสโลแกนที่จดจำได้ชัดเจน เช่น "เริ่มน่ะ รอดแน่นอน" ของนายเอนก แสนซุ้ง คำถามท้าทาย "ถ้าถนนตัดขาด รอดมั้ย? รอดกี่เดือน?" และคำแนะนำของอ.ณัฐพงษ์ มณีกร ว่า "เราทำต้องทำให้ครัวเรือนเรารอดก่อน ไม่ต้องคิดใหญ่โตจนเกินไป แต่ให้เริ่มจากที่เล็กที่สุดก่อน" ที่สำคัญคือผู้เรียนหลายคนมีเป้าหมายระยะยาวที่ชัดเจนและมีความหมาย เช่น นายเอนก แสนซุ้ง ที่ต้องการพิสูจน์ให้เห็นว่า "คนม้งไม่ใช่คนทำลายป่าต้นน้ำ แต่เป็นคนรักษาต่างหาก" และมีความฝันที่จะขยายวิถีเกษตรกักตะกอนดินและน้ำไปถึงชาวม้งทั่วโลก เทพพิชิต อนุวงค์ประพันธ์ ที่กำลังสร้าง "คลังพันธุกรรม" เพื่อเก็บรักษาพันธุ์ข้าวพื้นเมืองและพืชพื้นเมืองไว้ให้คนรุ่นหลัง นายดุสิต กรธนะพาณิช ที่มุ่งมั่นพัฒนาพื้นที่เป็น "ป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง" เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารและฟื้นฟูระบบนิเวศ นายมานะ กำเนิดมงคล ที่แม้จะเผชิญหนี้สินและความยากลำบาก แต่ยังมีความตั้งใจและความหวังที่จะพัฒนาพื้นที่ด้วยระบบโซล่าเซลล์ และนายฮู้ที่อายุ 62 ปีแล้วยังตัดสินใจเริ่มต้นใหม่ แสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงไม่มีวันสายเกินไป การเรียนรู้จากการทำจริงทำให้ผู้เรียนเข้าใจว่าการเริ่มต้นต้องมีการเรียนรู้จากการทดลองทำจริง การสร้างต้นแบบ และการแก้ไขปัญหาเมื่อเจอข้อจำกัดของพื้นที่ ซึ่งทำให้เป้าหมายมีความเป็นจริงและสามารถบรรลุผลได้