Welcome

ข่าวประชาสัมพันธ์

วีดีโอ

@13 พ.ย. 64 19:44

แผนที่นำทางใหม่ สำหรับอุดมศึกษาไทย

@3 พ.ย. 64 17:23

แผนที่นำทางใหม่ สำหรับอุดมศึกษาไทย

การประชุมสัมมนาเพื่อชี้แจงแนวทางการดำเนินโครงการผลิต บัณฑิตพันธ์ใหม่ (15 พย.65)

@3 พ.ย. 64 17:15
ชม วีดีโอย้อนหลัง การประชุมสัมมนาเพื่อชี้แจงแนวทางการดำเนินโครงการผลิต บัณฑิตพันธ์ใหม่ (15 พย.65)การชี้แจงแนวทางการดำเนินโครงการผลิตบัณฑิตพันธุ์ใหม่ ปี พ.ศ. 2565เปิดการประชุมสัมมนาและมอบนโยบาย เรื่อง โบัณฑิตพันธุ์ใหม่กับการผลิตกำลังคนหลังวิกฤตการณ์โควิด-19โ

หัวข้อทั้งหมด

การดำเนินกิจกรรมโครงการ

  • การออกแบบการจัดการน้ำอัจฉริยะในพื้นที่เกษตรกรรมบนภูเขาด้วย AI และภูมิปัญญาท้องถิ่น Smart Water Management Design in Highland Agriculture using AI and Indigenous Knowledge (Non-Degree Certificate Program)

    การติดตามและประเมินผลหลังหลักสูตร (Follow-up and Impact Evaluation) : เดี๋ยวมากรอก@29 ต.ค. 68 15:13
  • การออกแบบการจัดการน้ำอัจฉริยะในพื้นที่เกษตรกรรมบนภูเขาด้วย AI และภูมิปัญญาท้องถิ่น Smart Water Management Design in Highland Agriculture using AI and Indigenous Knowledge (Non-Degree Certificate Program)

    วิเคราะห์ข้อจำกัดพื้นที่และวางแผนออกแบบ ติดตั้งระบบน้ำจริงร่วมกับชุมชน : ผลผลิต (Output) 1. ความรู้และทักษะที่ถ่ายทอด ด้านการจัดการน้ำ ผู้เข้าร่วมได้เรียนรู้หลักการสำรวจพื้นที่โดยการอ่านทางน้ำ การดูแนวสโลปและคอนทัวร์ รวมถึงการใช้เครื่องมือง่ายๆ อย่าง A-Frame และขวดน้ำในการวัดระดับบนพื้นที่ที่มีความลาดเอียงสูง ซึ่งเป็นทักษะที่ท้าทายและต้องอาศัยการฝึกฝนจริง การออกแบบคลองไส้ไก่ต้องคำนึงถึงความลาดชันที่เกิน 1 เซนติเมตร มีส่วนเว้า-โค้ง ลึก-ตื้น หลุม-แอ่ง และฝายชะลอน้ำ เพื่อให้น้ำไหลช้าที่สุด ไม่กักแต่ชะลอการไหล นอกจากนี้ยังได้เรียนรู้เทคนิคการดักตะกอนดิน การสร้างหนองเก็บน้ำฝนและหนองกระจาย และการทำ Creek ซึ่งเป็นทางน้ำผ่านใต้ทางรถแบบลูกระนาด ซึ่งดินตะกอนที่ดักได้สามารถนำไปใช้ทำดินปลูก ปุ๋ย หรือเพาะปลูกได้ สิ่งสำคัญที่ผู้เรียนค้นพบคือ การทำงานบนพื้นที่ที่ถูกปรับใหม่ต้องเผชิญกับปัญหาดินยังไม่เซ็ตตัว ทำให้ต้องมีเทคนิคการ "ตั้งครรภ์ดิน" ให้ใหญ่และสูงเผื่อการยุบตัวในอนาคต และการขุดคลองเพื่อดักตะกอนที่จะไหลลงมา ด้านพลังงานทดแทน ผู้เข้าร่วมได้ฝึกปฏิบัติจริงในการติดตั้งระบบโซล่าเซลล์ปั๊มน้ำ ตั้งแต่การคำนวณขนาดแผง การติดตั้งปั๊ม ไปจนถึงการวางท่อ โดยใช้ AI ช่วยคำนวณปริมาตรน้ำ ความสูง ระยะทาง และแรงดันน้ำ (ทุก 10 เมตร เท่ากับ 1 บาร์) ได้เรียนรู้ว่าแผงโซล่าเซลล์ราคา 25,000 บาท สามารถใช้งานได้นาน 25 ปี คิดเป็นค่าใช้จ่ายเพียงวันละ 3 บาท และมีประสิทธิภาพดันน้ำได้ถึง 8 บาร์ เทียบกับไฟฟ้าที่ดันได้ 7.5 บาร์ เท่านั้น ซึ่งเหมาะสมกับพื้นที่ที่ไม่มีไฟฟ้าหรือไฟฟ้าไม่เสถียร นายจำลอง เรียนรู้ว่าปั๊มโซล่าเซลล์ตัวเล็กๆ สามารถปั๊มน้ำได้ถึง 1,000 เมตร แรงกว่าปั๊มน้ำมันที่เคยใช้ถึง 10 เท่า และคุ้มค่ากว่ามาก อย่างไรก็ตาม ผู้เรียนได้ค้นพบข้อจำกัดสำคัญคือ ปัญหาแสงน้อยในเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม ระยะทางการติดตั้งที่ไกล ความยากในการหาอุปกรณ์ท่อที่ต้องสั่งมาไกล และการขออนุญาตในเขตอุทยานหรือกรมป่าไม้ ซึ่งนำไปสู่ข้อเสนอแนะในการพัฒนาชุดเก็บไฟฟ้าสำรองไว้ใช้ช่วงฝนเพื่อช่วยประหยัดไฟ และการสร้างต้นแบบระบบโซล่าเซลล์ที่เหมาะสมกับบริบทท้องถิ่น ด้านเศรษฐกิจครัวเรือน มีการวิเคราะห์รายรับ-รายจ่ายอย่างละเอียดจากตัวอย่างหลากหลายครัวเรือน เช่น บ้านปางแก ครอบครัว 11 คน มีรายจ่าย 242,610 บาทต่อปี หรือประมาณ 22,000 บาทต่อเดือน โดยค่าปุ๋ยเคมีเพียงอย่างเดียวสูงถึง 79,400 บาทต่อปี ครอบครัวนางเพ็ญศรี โชติอัศววงค์ ที่บ้านมณีพฤกษ์ มีรายได้จากกาแฟปีละ 70,000-80,000 บาท และรายได้เสริมจากงานรับจ้าง 50,000 บาทต่อปี แต่ต้องลงทุนค่าปุ๋ยอินทรีย์ 30,000 บาทและค่าแรงงาน 30,000 บาทต่อปี พร้อมแบกรับหนี้สิน 730,000 บาท นายมานะ กำเนิดมงคล มีรายได้จากกะหล่ำปีละ 30,000-40,000 บาท แต่ต้นทุนสูงมาก โดยเฉพาะค่าเมล็ดพันธุ์ ปุ๋ย และยาฆ่าหญ้า จนมีหนี้ ธกส. ประมาณ 200,000 บาท ส่วนนายชวกร ศุภสันต์สกุล มีรายได้เสริมจากร้านอาหารและร้านเช่าชุดกว่าหนึ่งแสนบาทต่อปี จากการวิเคราะห์เหล่านี้ ผู้เข้าร่วมเห็นแนวทางในการลดรายจ่ายและเพิ่มรายได้ โดยการผลิตอาหาร ปุ๋ย และพลังงานเองในพื้นที่ ลดการพึ่งพาภายนอก และสามารถคำนวณ "ตุ่มรูรั่ว" ของแต่ละครัวเรือนได้ชัดเจน ผู้เรียนยังได้เข้าใจปัญหาเชิงโครงสร้างของเกษตรพื้นที่สูงอย่างลึกซึ้ง เช่น ดินที่เสื่อมสภาพจากการใช้สารเคมีมานาน แข็ง ขาดธาตุอาหาร จนต้องเว้นแปลงไว้พักเป็นปีๆ ปัญหาแรงดันน้ำไม่พอจากระบบประปาภูเขาที่ท่อยาวไกล ค่าแรงงานที่สูงจนทำนาไม่คุ้มทุน และความไม่แน่นอนของราคาตลาดที่ทำให้เสี่ยงสูง 2. แกนนำที่เกิดขึ้น โครงการได้ "ปักหมุด" แกนนำคนทำจริงทั้งสิ้น 40 กว่าราย กระจายใน 10 หมู่บ้านทั่วจังหวัดน่าน โดยแต่ละรายมีเป้าหมายลดรายจ่ายและเพิ่มรายได้ที่ชัดเจน และที่สำคัญคือมีพื้นฐานและประสบการณ์ที่หลากหลาย ทำให้เกิดการเรียนรู้แบบแลกเปลี่ยนที่ลึกซึ้ง บ้านมณีพฤกษ์มี 5 ราย นำโดยนายทวีชัย กำเนิดมงคล นายพิเชฐ กล้าพิทักษ์ เทพพิชิต อนุวงค์ประพันธ์ (พ่อนาย) ที่จบการศึกษาด้านพืชศาสตร์และมีประสบการณ์ทำงานเป็นบรีดเดอร์ในบริษัทเมล็ดพันธุ์เกือบ 10 ปี ซึ่งเขากำลังสร้าง "คลังพันธุกรรม" รวบรวมพันธุ์ข้าวพื้นเมืองของม้งและพืชพื้นเมืองอื่นๆ ไว้ให้คนรุ่นหลัง พร้อมวางแผนปรับพื้นที่ 12 ไร่เป็นนาขั้นบันไดและอีก 9 ไร่ปลูกชา นางเพ็ญศรี โชติอัศววงค์ และคุณพงษ์ศักดิ์ สามี ที่มีต้นกาแฟกว่า 5,000 ต้นที่ดูแลด้วยปุ๋ยอินทรีย์ 100% และกำลังกลายเป็นที่ปรึกษาเล็กๆ ให้กับชาวบ้านที่มาขอคำแนะนำเรื่องการทำเกษตร และนายมานะ กำเนิดมงคล ที่ดูแลครอบครัว 11 คน บนพื้นที่ 40-50 ไร่ แม้จะเผชิญปัญหาดินเสื่อมและแรงดันน้ำไม่พอ แต่ก็ยังมีความตั้งใจและความหวังที่จะพัฒนาพื้นที่ด้วยระบบโซล่าเซลล์ บ้านขุนสถานมี 4 ราย โดยมีนายเอนก แสนซุ้ง เป็นต้นแบบหลักที่มีเป้าหมายลดรายจ่าย 2,000 บาทและเพิ่มรายได้ 3,000 บาทต่อเดือน เขาเคยเรียนวิชากสิกรรมธรรมชาติที่ศูนย์กสิกรรมธรรมชาติชุมชนต้นน้ำน่านเมื่อ 4 ปีก่อน และได้ปรับพื้นที่ 7 ไร่จากภูเขาหัวโล้นเป็นนาขั้นบันได เพื่อพิสูจน์ว่า "คนม้งไม่ใช่คนทำลายป่าต้นน้ำ แต่เป็นคนรักษาต่างหาก" นายบุญช่วย วรวุฒิไพศาล อายุ 56 ปี ที่มีพื้นที่ 80 ไร่ หันมาทำโคกหนองนาบนพื้นที่ 5 ไร่ และสวนผสม 4 ไร่ ทำให้ครอบครัวสุขภาพดีขึ้นและมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับเพื่อนบ้านผ่านกิจกรรมตลาดบุญ-ทาน นายชวกร ศุภสันต์สกุล อายุ 52 ปี ที่มีพื้นที่ 30 ไร่ และเป็นกรรมการสหกรณ์หมู่บ้าน มีรายได้เสริมจากร้านอาหารและร้านเช่าชุด แม้ยังไม่ได้ปรับมาทำเกษตรกักตะกอนเต็มรูปแบบ แต่ก็อยู่ในกระบวนการเรียนรู้และพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลง และนายฮู้ อายุ 62 ปี ที่มีพื้นที่ 18 ไร่ ซึ่งดินแข็งและได้ใช้สารเคมีมานาน ตัดสินใจเริ่มต้นใหม่ด้วยการเข้าร่วมโครงการฟื้นป่าน่าน บ้านปางแกมีนายดุสิต กรธนะพาณิช อายุ 47 ปี อดีตผู้ดูแลระบบไฮโดรโปนิกส์ที่หันมาทำเกษตรอินทรีย์ 100% บนพื้นที่ 40 ไร่ ได้รับการรับรอง Organic Thailand และกำลังนำ 15 ไร่เข้าสู่โครงการฟื้นป่าน่าน เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารและฟื้นฟูพื้นที่เป็น "ป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง" นอกจากนี้ยังมีแกนนำจากนาหมื่น 7 ราย เวียงสา 3 ราย บ้านน้ำหก 6 ราย บ้านห้วยเลา 11 ราย บ้านหนองบัว 8 ราย และอำเภอเฉลิมพระเกียรติมี 21 ราย แกนนำเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงผู้เรียนรู้ แต่หลายคนกำลังกลายเป็นที่ปรึกษาชุมชนและพร้อมที่จะเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้และเป็นต้นแบบให้ชุมชนอื่นต่อไป 3. โมเดลพื้นที่เรียนรู้ แปลงนายเอนก แสนซุ้ง ที่บ้านขุนสถานเป็นต้นแบบหลักที่แสดงผลสำเร็จที่มองเห็นได้ชัดเจน ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งปี มีกล้วยงามแตกกอ ฟักทองและแตงกวาลูกใหญ่ถึง 6-7 กิโลกรัม มะนอยออมแอม และข้าวงาม โดยไม่ใช้ปุ๋ยเคมีเลย ระบบน้ำสามารถดักตะกอนดินได้ 20 เซนติเมตรในนา และ 2 เมตรในบ่อบน แม้จะเผชิญปัญหาดินสไลด์ทับปั๊มถึง 4 เมตร และแรงกดดันจากที่ทำงาน แต่ก็สามารถแก้ไขและฟื้นตัวได้สำเร็จ นายเอนก แสนซุ้ง มีแผนจะแปรรูปฟักทองเป็นเส้นก๋วยเตี๋ยว ข้าวเกรียบ และข้าวแคบ เพื่อเพิ่มมูลค่า สิ่งที่โดดเด่นของแปลงนี้คือการเป็นหลักฐานที่มีชีวิตว่า "คนม้งไม่ใช่คนทำลายป่าต้นน้ำ แต่เป็นคนรักษา" เพราะนาขั้นบันไดที่สร้างขึ้นไม่เพียงแค่ผลิตอาหาร แต่ยังเก็บรักษาตะกอนดินและน้ำไว้บนภูเขา ไม่ให้ไหลลงไปท่วมคนปลายน้ำ แปลงนายพงษ์ศักดิ์และนางเพ็ญศรี โชติอัศววงค์ ที่บ้านมณีพฤกษ์ ขนาด 4 ไร่จากทั้งหมด 20 ไร่ เน้นการท่องเที่ยวเชิงเกษตรและเกษตรผสมผสาน โดยออกแบบคำนึงถึงวิวและจุดกางเต็นท์ มีปัญหาหนองพังและน้ำทะลักทำลายพื้น ในกิจกรรมครั้งนี้ได้แก้ไขโดยขุดคลองไส้ไก่เบี่ยงน้ำจากถนน ปลูกแฝกยึดดิน ทำฝายชะลอน้ำ และทำ Creek เพื่อให้รถวิ่งได้โดยน้ำยังไหลผ่านได้ ผู้เข้าร่วมได้ลงมือทำจริงจนเห็นน้ำไหลเข้าหนองตามที่ออกแบบไว้ แต่ในกระบวนการทำงานพบว่า การขุดบนพื้นที่ที่มีหินเยอะทำให้ขุดยาก ดินเป็นหลุมเป็นบ่อน้ำขังเป็นขี้โคลน ดินติดอุปกรณ์ทำให้อุปกรณ์หนักและคนขุดเหนื่อย ซึ่งทำให้เกิดการเรียนรู้ในการจัดการทีมงาน เช่น การหมั่นทำความสะอาดอุปกรณ์เพื่อลดพลังงานคนขุด การแบ่งคนแบ่งงานแบ่งพื้นที่ให้ชัดเจนตามความถนัด และการมี "ทีมพลาธิการ" ดูแลเรื่องน้ำ ขนม อาหารให้เพื่อนๆ ที่ทำงานเหนื่อย จุดเด่นของแปลงนี้คือการทำเกษตรด้วยปุ๋ยอินทรีย์ 100% บนพื้นที่กาแฟกว่า 5,000 ต้น พร้อมผลไม้และไม้ยืนต้นที่หลากหลาย เช่น กล้วย มะนาว อะโวคาโด และต้นนางพญาเสือโคร่งกว่า 500 ต้น โดยใช้โมเดลโคกหนองนาเป็นหัวใจในการจัดการน้ำ แม้จะยังเผชิญปัญหาน้ำไม่พอในหน้าแล้งและเส้นทางถูกดินสไลด์ปิดในฤดูฝน แต่ครอบครัวก็ปรับตัวและเดินหน้าต่อ และที่สำคัญคือเจ้าของแปลงกำลังกลายเป็นที่ปรึกษาให้กับชาวบ้านที่มาขอคำแนะนำเรื่องการทำเกษตร แปลงนายทวีชัย กำเนิดมงคล ขนาด 2 ไร่จาก 14 ไร่ มีการติดตั้งระบบโซล่าเซลล์ดูดน้ำจากที่ต่ำขึ้นดอย สำเร็จภายในเวลาเพียง 2 วัน โดยมีหนองเก็บน้ำความจุ 500 คิว รองรับน้ำจากสันปันน้ำ 20 ไร่ ซึ่งสามารถเก็บน้ำได้ถึง 40,000 คิว ผู้เข้าร่วมได้ฝึกการต่อท่อทั้งคืนจนน้ำขึ้นถึงแปลงจริง ทำให้เห็นว่าเทคโนโลยีโซล่าเซลล์สามารถแก้ปัญหาพื้นที่สูงที่ไม่มีไฟฟ้าได้จริง แปลงนายดุสิต กรธนะพาณิช ที่บ้านปางแก ขนาด 40 ไร่ เป็นตัวอย่างของการเปลี่ยนผ่านจากเกษตรเคมีสู่เกษตรอินทรีย์อย่างเต็มรูปแบบ จากอดีตที่เคยปลูกกะหล่ำ ข้าวโพด ถั่วลันเตาด้วยสารเคมี และพบว่าไม่ยั่งยืน ก่อนจะหันมาเข้าร่วมโครงการหลวงในปี 2558 ปลูกผักในโรงเรือน และปัจจุบันได้รับการรับรอง Organic Thailand แปลงนี้แสดงให้เห็นว่าการฟื้นฟูดินและระบบนิเวศสามารถทำได้จริง แม้จะใช้เวลาและต้องปรับเปลี่ยนทั้งระบบการผลิต และกำลังนำ 15 ไร่เข้าสู่โครงการฟื้นป่าน่านเพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารและพัฒนาเป็น "ป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง" 4. แผนงานเชื่อมโยงภายนอก มีการวางแผนเชื่อมโยงตลาดและการกระจายสินค้าอย่างเป็นระบบ เริ่มจากวันที่ 11 กันยายน 2568 จะนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อสื่อสารกับสาธารณะและสร้างช่องทางตลาด ต่อมาจะเปิดตลาดที่โรงพยาบาลน่านสำหรับสินค้าอินทรีย์ โดยมีลูกสาวของนายเอนก แสนซุ้ง ที่ทำงานที่นั่นเป็นตัวเชื่อม และใช้ร้านรองกวางเป็นช่องทางจำหน่ายมะนอยออมแอม ผลิตภัณฑ์หลักที่พร้อมจำหน่ายคือกาแฟมณีพฤกษ์ซึ่งมีคุณภาพระดับโลก มักติดอันดับ 1-3 ในการแข่งขัน แต่ปัญหาคือปริมาณน้อยทำให้ไม่เป็นที่รู้จัก มีแผนพัฒนาการคั่วให้เหมาะสม เพราะกาแฟจากป่าต้องใช้เวลาคั่วนานกว่า น้ำดื่มจากบ้านน้ำหก ผักผลไม้อย่างฟักทอง แตงกวา มะนอยออมแอม และแผนแปรรูปผลิตภัณฑ์จากฟักทอง นอกจากนี้ยังมีโมเดล "กาแฟฟื้นป่าแลกโซล่าปั๊ม" เป็นระบบแลกเปลี่ยนไม่ใช้เงิน เชื่อมระหว่างผู้ผลิตกาแฟกับเทคโนโลยี มีเป้าหมาย 6 แปลงนำร่อง และวางแผนพัฒนารถเย็น ห้องเย็น และแพลตฟอร์มขายของตัวเองในอนาคต 5. เครื่องมือและนวัตกรรม มีการพัฒนาฐานข้อมูล "AI for Highland Water Solution" เพื่อเก็บข้อมูลปริมาณน้ำ ดินตะกอน ผลผลิต และพฤติกรรมชาวบ้านอย่างเป็นระบบ มีวัตถุประสงค์เพื่อพิสูจน์ความสำเร็จและเป็นแหล่งข้อมูลให้คนอื่นนำไปใช้ได้ โดยมีทีม AI นำโดยพี่ปิ้วรับผิดชอบ สำหรับเครื่องมือการเรียนรู้เยาวชน มีการพัฒนาหลักสูตรที่โรงเรียนประกิต เช่น การสานตะแหล๋ว ทำพิซซ่าม้ง และทำน้ำมันจากขยะพลาสติก รวมถึงการใช้โลกการ์ตูน (อนิจิน) ให้เด็กๆ ฝึกซ้อมผังน้ำในโลกจินตนาการก่อนลงมือทำจริง ทำให้การเรียนรู้น่าสนใจและเข้าใจง่ายขึ้น ผลลัพธ์ (Outcome) 1. การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและความเชื่อมั่น ในระดับปัจเจกบุคคล เกิดความมั่นใจอย่างชัดเจนจากคำพูดของชาวบ้านที่ว่า "รอดแน่นอน เป็นปีก็รอด" เมื่อถูกถามว่าถ้าถนนตัดขาดจะอยู่รอดได้กี่เดือน ความเข้าใจเปลี่ยนจาก "ไม่เชื่อว่าปิดถนน 1 เดือนจะรอด" เป็น "มีอาหาร น้ำสะอาด พอเพียง อยู่ได้จริง" นายเอนก แสนซุ้ง แม้จะเผชิญความเหนื่อยยากจนร้องไห้ในสวนคนเดียว ถูกกดดันจากที่ทำงาน แต่ก็กลับมาสู้ต่อด้วยกำลังใจจากเพื่อนและคุณครู และมีความมุ่งมั่นที่จะทำให้สำเร็จเพื่อลูกและครอบครัว พร้อมความฝันที่จะขยายวิถีเกษตรกักตะกอนดินและน้ำไปถึงชาวม้งทั่วโลก เพื่อพิสูจน์ว่าม้งคือผู้รักษาป่าและผู้ดูแลน้ำ ในระดับครัวเรือน นายบุญช่วย วรวุฒิไพศาล ปลูกข้าวครั้งแรกโดยไม่ใช้เคมีเลยและได้ข้าวที่สวยมาก ทำให้ครอบครัวสุขภาพดีขึ้นและมีความมั่นคงในการกินอยู่ นายวรเทพ อนุวงศ์ประพันธ์ มั่นใจว่าโซล่าเซลล์ขึ้นดอยได้จริงหลังจากเห็นน้ำไหลด้วยตาตัวเอง นายจำลอง เรียนรู้ว่าปั๊มโซล่าเซลล์ตัวเล็กๆ สามารถปั๊มน้ำได้ถึง 1,000 เมตร แรงกว่าปั๊มน้ำมันที่เคยใช้ถึง 10 เท่า และคุ้มค่ากว่ามาก เทพพิชิต อนุวงค์ประพันธ์ (พ่อนาย) ผู้มีประสบการณ์ด้านพันธุกรรมพืชเกือบ 10 ปี กำลังสร้าง "คลังพันธุกรรม" รวบรวมพันธุ์ข้าวพื้นเมืองของม้งและพืชพื้นเมืองอื่นๆ ไว้ให้คนรุ่นหลัง และมีแผนจะปรับพื้นที่ 12 ไร่เป็นนาขั้นบันไดและอีก 9 ไร่ปลูกชา โดยได้แรงบันดาลใจจากเพื่อนที่บ้านปางแกซึ่งทำนาขั้นบันได 5 ไร่ ได้ข้าวกินพอทั้งปี นายดุสิต กรธนะพาณิช เปลี่ยนจากการใช้สารเคมีมาเป็นเกษตรอินทรีย์ 100% บนพื้นที่ 40 ไร่ และได้รับการรับรอง Organic Thailand แสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนผ่านทำได้จริงแม้จะใช้เวลา นายฮู้ อายุ 62 ปี ตัดสินใจเริ่มต้นใหม่บนพื้นที่ 18 ไร่ที่ดินแข็งและเคยใช้สารเคมีมานาน แสดงให้เห็นว่าไม่มีอายุไหนสายเกินไปสำหรับการเปลี่ยนแปลง ในระดับชุมชน เกิดการช่วยเหลือกันขุดคลองร่วมกัน ต่อท่อทั้งคืนจนสำเร็จ สร้างมิตรภาพและการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างชาติพันธุ์ต่างๆ ทั้งลัวะ ม้ง และคนเมือง ที่ทำงานร่วมกันได้อย่างลงตัว มีการจัดประชุมหมู่บ้านทุกเดือน กิจกรรมตลาดบุญ-ทาน และมีเยาวชนเข้ามาช่วยงานฟื้นฟูป่า ดิน และน้ำร่วมกัน ความสัมพันธ์ในชุมชนแน่นแฟ้นขึ้น และที่สำคัญคือหลายคนเริ่มกลายเป็น "ที่ปรึกษาชุมชน" เช่น นางเพ็ญศรี โชติอัศววงค์ ที่ชาวบ้านมาขอคำแนะนำเรื่องการทำเกษตร นายชวกร ศุภสันต์สกุล ที่เป็นกรรมการสหกรณ์หมู่บ้านและอยู่ในกิจกรรมตลาดบุญ-ทานอย่างสม่ำเสมอ แม้ยังไม่ได้ปรับมาทำเกษตรกักตะกอนเต็มรูปแบบ แต่ก็ยืนอยู่กับชุมชน ร่วมแรงร่วมใจ และพร้อมจะเปลี่ยนแปลงเมื่อถึงเวลาเหมาะสม 2. ความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับหลักการจัดการน้ำและข้อจำกัดของพื้นที่ ผู้เข้าร่วมเข้าใจลึกซึ้งว่า "น้ำต้องไหลช้าที่สุด" ไม่ใช่การกักน้ำไว้ แต่เป็นการชะลอการไหล นายสาธิต นุชเกษม สะท้อนว่า "ใช้เวลากับการสำรวจมากขึ้น ละเอียดมากขึ้น" เพราะถ้าเราไม่เดินดูพื้นที่ให้ทั่ว จะมองไม่เห็นการไหลของน้ำจริงๆ โดยเฉพาะบนพื้นที่ที่มีความลาดเอียงสูงซึ่งทำให้การเล็งระดับยากมาก นายกัมปนาท ทองชาย เรียนรู้ว่า "มองด้วยตามันไม่ใช่" การเล็งระดับน้ำเป็นทักษะที่ต้องฝึกฝนและต้องใช้อุปกรณ์อย่าง A-Frame ช่วย AI ช่วยคำนวณได้แต่ช่วยในส่วนนี้ไม่ได้ นายพิเชฐ กล้าพิทักษ์ เตือนว่า "ครั้งแรกถ้าทำผิด เวลาแก้มันยาก" เพราะต้องมีคนที่มีประสบการณ์ดูแลการขุด ดินต้องแน่น ระดับต้องเท่ากัน ไม่เช่นนั้นจะพังและแก้ไขยากมาก สิ่งที่ผู้เรียนค้นพบเพิ่มเติมคือ ข้อจำกัดของพื้นที่ที่ถูกปรับใหม่ ดินยังไม่เซ็ตตัว ทำให้ขุดแล้วไม่อยู่ตัว เดินยาก และไม่รู้ว่าจะยุบมากน้อยแค่ไหน ซึ่งต้องรอให้ดินเซ็ตตัวหรือคิดเผื่ออนาคตและขุดเผื่อไว้เลย เช่น การ "ตั้งครรภ์ดิน" ให้ใหญ่และสูง หรือขุดคลองเพื่อดักตะกอนที่จะไหลลงมา นอกจากนี้ยังมีปัญหาดินเป็นหลุมเป็นบ่อน้ำขัง พื้นที่มีหินเยอะทำให้ขุดยาก และดินติดอุปกรณ์ทำให้อุปกรณ์หนักและคนขุดเหนื่อย ซึ่งต้องหมั่นทำความสะอาดอุปกรณ์เพื่อลดพลังงานคนขุด ผู้เรียนยังเข้าใจปัญหาเชิงโครงสร้างของพื้นที่สูงอย่างลึกซึ้ง เช่น ดินที่เสื่อมสภาพจากการใช้สารเคมีมานาน แข็ง ขาดธาตุอาหาร จนต้องเว้นแปลงไว้พักเป็นปีๆ อย่างที่นายมานะ กำเนิดมงคลและนายฮู้เผชิญอยู่ ปัญหาแรงดันน้ำไม่พอจากระบบประปาภูเขาที่ท่อยาวไกล ทำให้น้ำไหลไม่ถึงอย่างที่ควร ค่าแรงงานที่สูงจนทำนาไม่คุ้มทุน อย่างที่เทพพิชิต อนุวงค์ประพันธ์สะท้อนว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา การทำนาข้าวไม่คุ้มทุนอีกต่อไป เมื่อก่อนปลูก 5-10 ไร่ ได้ถึง 100 กระสอบ แต่ปัจจุบันลงทุนกว่า 40,000-50,000 บาท กลับได้เพียง 20-30 กระสอบ เพราะต้องจ้างแรงงานแทนการช่วยกันในครอบครัว สุดท้ายเขาตัดสินใจเลิกทำนาและหันไปซื้อข้าวกินแทน และความไม่แน่นอนของราคาตลาดที่ทำให้เสี่ยงสูง อย่างที่นายมานะกังวลว่า "ราคาผลผลิตไม่แน่นอน ยิ่งทำเยอะยิ่งเสี่ยง" หลักการเหล่านี้ไม่ได้มาจากหนังสือ แต่มาจากการลงมือทำจริงและเรียนรู้จากข้อผิดพลาด 3. การพัฒนาระบบการทำงานร่วมกันและการจัดการทีม จากประสบการณ์การลงแปลงจริง ผู้เรียนค้นพบความสำคัญของการจัดการทีมงานที่ดี ปัญหาที่พบคือ ขาดคนดูแลประจำจุด ไม่ได้ทำตามแผนที่วางไว้ ปรับเปลี่ยนไปตามความเห็นของคนที่มาเห็นและให้ความเห็น บางคนไม่กินข้าวก่อนทำงาน ตารางลงแปลงไม่เหมาะ หิวแล้วทำงานไม่ไหว และบางคนไม่ล้างอุปกรณ์หลังลงแปลง ซึ่งนำไปสู่ข้อเสนอแนะในการพัฒนาระบบการทำงาน ได้แก่ การแบ่งคนแบ่งงานแบ่งพื้นที่ให้ชัดเจนตั้งแต่แรกตามความถนัดของแต่ละคน เมื่อมีคนเสร็จงานแล้วตนเองค่อยไปช่วยเพื่อน การมี "ทีมพลาธิการ" ดูแลเรื่องน้ำ ขนม อาหารให้เพื่อนๆ ที่ทำงานเหนื่อย การสร้างกำลังกาย กำลังใจ และกำลังปัญญาก่อนลงแปลงทุกครั้ง และการที่ทุกคนดูแลรักษาความสะอาดอุปกรณ์ของตนเอง ระบบการทำงานเหล่านี้ช่วยให้การลงแปลงมีประสิทธิภาพและสร้างความสามัคคีในทีม 4. การสร้างเครือข่ายข้ามภาคส่วน เกิดการยื่นมือจับกันระหว่างสามภาคส่วนหลัก ได้แก่ ภาครัฐที่มีองค์การบริหารส่วนตำบลพระพุทธบาท (พมพ.) อุทยานแห่งชาติศรีน่าน และโรงพยาบาลน่านเข้ามาสนับสนุน ภาคเอกชนที่มี Gem Forest โดยพี่สา กรรมการตัดสินกาแฟ และร้านกาแฟต่างๆ ที่ใช้กาแฟเป็นเครื่องมือระดมทุนช่วยเหลือผู้ประสบภัยดินถล่ม ภาคประชาชนที่มีแกนนำ 40 กว่ารายจาก 10 หมู่บ้าน และภาควิชาการที่มีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เป็นพันธมิตร นอกจากนี้ยังมีเครือข่ายระหว่างประเทศกับ V-CIL (เยาวชนเวียดนาม) ที่จะมาเรียนรู้ในเดือนธันวาคม 2568 และอารยธามที่จะมาในเดือนกุมภาพันธ์ 2569 การสร้างเครือข่ายนี้ไม่ใช่เพียงแค่การทำงานร่วมกัน แต่เป็นการสร้างกลไกที่จะขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในระดับนโยบายได้ โดยเฉพาะการประสานงานเรื่องการขออนุญาตในเขตอุทยานหรือกรมป่าไม้ซึ่งเป็นข้อจำกัดสำคัญที่ผู้เรียนค้นพบ รวมถึงการแก้ไขปัญหาการไม่มีเอกสารสิทธิ์ที่ดินซึ่งเป็นข้อจำกัดของเกษตรกรภูเขาหลายราย 5. การรับรู้บทบาทและเป้าหมายที่ชัดเจน ผู้เข้าร่วมเข้าใจชัดเจนว่าการพัฒนามีสามระดับ คือ ระดับครัวเรือนที่เน้นความมั่นคงของครอบครัว เช่น บ้านขุนสถานที่มี 6 แปลง ระดับชุมชนที่สามารถพึ่งพาตัวเองได้ทั้งหมู่บ้าน เช่น บ้านมณีพฤกษ์และบ้านห้วยเลา และระดับเชื่อมภายนอกที่มีระบบการขาย แพลตฟอร์ม รถเย็น ห้องเย็น เพื่อกระจายสินค้าออกไป มีสโลแกนที่จดจำได้ชัดเจน เช่น "เริ่มน่ะ รอดแน่นอน" ของนายเอนก แสนซุ้ง คำถามท้าทาย "ถ้าถนนตัดขาด รอดมั้ย? รอดกี่เดือน?" และคำแนะนำของอ.ณัฐพงษ์ มณีกร ว่า "เราทำต้องทำให้ครัวเรือนเรารอดก่อน ไม่ต้องคิดใหญ่โตจนเกินไป แต่ให้เริ่มจากที่เล็กที่สุดก่อน" ที่สำคัญคือผู้เรียนหลายคนมีเป้าหมายระยะยาวที่ชัดเจนและมีความหมาย เช่น นายเอนก แสนซุ้ง ที่ต้องการพิสูจน์ให้เห็นว่า "คนม้งไม่ใช่คนทำลายป่าต้นน้ำ แต่เป็นคนรักษาต่างหาก" และมีความฝันที่จะขยายวิถีเกษตรกักตะกอนดินและน้ำไปถึงชาวม้งทั่วโลก เทพพิชิต อนุวงค์ประพันธ์ ที่กำลังสร้าง "คลังพันธุกรรม" เพื่อเก็บรักษาพันธุ์ข้าวพื้นเมืองและพืชพื้นเมืองไว้ให้คนรุ่นหลัง นายดุสิต กรธนะพาณิช ที่มุ่งมั่นพัฒนาพื้นที่เป็น "ป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง" เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารและฟื้นฟูระบบนิเวศ นายมานะ กำเนิดมงคล ที่แม้จะเผชิญหนี้สินและความยากลำบาก แต่ยังมีความตั้งใจและความหวังที่จะพัฒนาพื้นที่ด้วยระบบโซล่าเซลล์ และนายฮู้ที่อายุ 62 ปีแล้วยังตัดสินใจเริ่มต้นใหม่ แสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงไม่มีวันสายเกินไป การเรียนรู้จากการทำจริงทำให้ผู้เรียนเข้าใจว่าการเริ่มต้นต้องมีการเรียนรู้จากการทดลองทำจริง การสร้างต้นแบบ และการแก้ไขปัญหาเมื่อเจอข้อจำกัดของพื้นที่ ซึ่งทำให้เป้าหมายมีความเป็นจริงและสามารถบรรลุผลได้@27 ต.ค. 68 21:00
  • การออกแบบการจัดการน้ำอัจฉริยะในพื้นที่เกษตรกรรมบนภูเขาด้วย AI และภูมิปัญญาท้องถิ่น Smart Water Management Design in Highland Agriculture using AI and Indigenous Knowledge (Non-Degree Certificate Program)

    Reflection & Post-test เพื่อประเมิน batch : เดี๋ยวมากรอก@26 ต.ค. 68 13:09
  • การออกแบบการจัดการน้ำอัจฉริยะในพื้นที่เกษตรกรรมบนภูเขาด้วย AI และภูมิปัญญาท้องถิ่น Smart Water Management Design in Highland Agriculture using AI and Indigenous Knowledge (Non-Degree Certificate Program)

    Workshop ฝึกเขียน Reflection Log และพูดต่อกลุ่ม, เปิดห้อง Open สื่อสารผลการเรียนรู้และออกแบบเชิงนโยบาย ร่วมกับเครือข่ายจุฬาฝ่าพิบัติในงาน NAN FORUM : เดี๋ยวมากรอก@26 ต.ค. 68 13:08
  • การออกแบบการจัดการน้ำอัจฉริยะในพื้นที่เกษตรกรรมบนภูเขาด้วย AI และภูมิปัญญาท้องถิ่น Smart Water Management Design in Highland Agriculture using AI and Indigenous Knowledge (Non-Degree Certificate Program)

    Workshop ครั้งที่ 3 เตรียมการเรียนรู้จากแปลง/ข้อมูลลุ่มน้ำ/เทคโนโลยีเจาะในพื้นที่/ออกแบบพื้นที่เบื้องต้น : เดี๋ยวมากรอก@26 ต.ค. 68 13:07
  • การออกแบบการจัดการน้ำอัจฉริยะในพื้นที่เกษตรกรรมบนภูเขาด้วย AI และภูมิปัญญาท้องถิ่น Smart Water Management Design in Highland Agriculture using AI and Indigenous Knowledge (Non-Degree Certificate Program)

    Workshop ครั้งที่ 2 เตรียมการเรียนรู้จากแปลง/ข้อมูลลุ่มน้ำ/เทคโนโลยีเจาะในพื้นที่/ออกแบบพื้นที่เบื้องต้น : ผลผลิต (Outputs) จากการดำเนินกิจกรรม Workshop ครั้งที่ 2 ได้เกิดผลผลิตสำคัญหลายประการ ทั้งในด้านองค์ความรู้ เครื่องมือ ทีมงาน และแนวทางพัฒนาระบบข้อมูลเพื่อรองรับสถานการณ์ภัยพิบัติ ดังนี้ 1. เกิดแนวทางพัฒนา “ฐานข้อมูลภัยพิบัติภาคประชาชน” โดยผู้เรียนและทีมภาคสนามได้ร่วมกันออกแบบกรอบข้อมูลเบื้องต้น แยกเป็นสามส่วน ได้แก่ ข้อมูลผู้ประสบภัย ข้อมูลผู้ช่วยเหลือ และข้อมูลพื้นที่ เพื่อให้สามารถเชื่อมโยงกันและใช้วิเคราะห์สถานการณ์ได้จริงในอนาคต 2. มีการกำหนดโครงสร้างเทมเพลตข้อมูลเบื้องต้น จากข้อเสนอของพี่อ้วน ที่ให้แบ่งข้อมูลเป็นสามหมวดหลัก คือ “คน–เครื่องมือ–กระบวนการ” ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการออกแบบระบบจัดเก็บข้อมูลและการประสานงานภาคสนามได้ 3. เกิดการรวมทีมภาคสนามและทีมสนับสนุนข้อมูลอย่างเป็นระบบ ผู้เรียนที่อยู่ทั้งในและนอกพื้นที่ได้ประกาศอาสาเข้าช่วยป้อนข้อมูลเข้าสู่ระบบ และร่วมเป็นทีมต้นแบบในการพัฒนาเทมเพลตฐานข้อมูลร่วมกับทีม AI for Highland 4. ได้ชุดกรณีศึกษา (Case Study) จากสถานการณ์จริง คือเหตุการณ์น้ำท่วมจังหวัดน่าน พ.ศ. 2568 ซึ่งถูกนำมาถอดบทเรียนในเชิงระบบ ทำให้หลักสูตรมีฐานข้อมูลและตัวอย่างจริงสำหรับการเรียนรู้ต่อยอดในอนาคต 5. มีการใช้เครื่องมือเทคโนโลยีจริงในการติดตามและวิเคราะห์สถานการณ์ เช่น Windy, iWater.net และ GIS Mapping เพื่อประกอบการเรียนรู้และจำลองกระบวนการติดตามภัยพิบัติด้วยข้อมูลจริง 6. เกิดแผนการจัดฟอรั่ม (Forum) ความร่วมมือข้ามภาคส่วน เพื่อเชิญหน่วยงานภาครัฐ ภาคประชาชน และเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง เข้ามาร่วมออกแบบระบบข้อมูลและแนวทางป้องกันภัยร่วมกันในระดับพื้นที่ ผลลัพธ์ (Outcomes) 1. ผู้เรียนเข้าใจสถานการณ์ภัยพิบัติจากของจริง และตระหนักถึงความซับซ้อนของการจัดการน้ำในพื้นที่สูง การได้ฟังรายงานจากทีมภาคสนามที่ปฏิบัติจริง ณ ศูนย์ปฏิบัติการภัยพิบัติภาคประชาชน จ.น่าน ทำให้ผู้เรียนเห็นภาพรวมของการเผชิญเหตุและการฟื้นฟูอย่างรอบด้าน เกิดความเข้าใจเชิงระบบ ทั้งในแง่ภูมิประเทศ สภาพอากาศ และโครงสร้างชุมชน ผู้เข้าร่วมสะท้อนว่า “เราได้เห็นคนแก่ที่ลำบากจริง ๆ ไม่มีใครดูแล เห็นแล้วก็รู้สึกดีที่ได้ช่วย ได้บุญ ได้พลังใจ” ซึ่งสะท้อนถึงการเกิด Empathy และแรงบันดาลใจในการทำงานเพื่อผู้อื่น 2. ผู้เรียนพัฒนาทักษะการวิเคราะห์สถานการณ์และการตัดสินใจในภาวะวิกฤต ผ่านบทเรียนจากทีมภาคสนาม เช่น การประเมินสถานการณ์ล่วงหน้า การเลือกอพยพคนเปราะบาง และการค้นหาผู้ตกสำรวจ ทำให้ผู้เรียนเห็นความสำคัญของข้อมูลและการตัดสินใจบนพื้นฐานของข้อเท็จจริง พี่อ๋อกล่าวว่า “ถ้าประเมินสถานการณ์ได้ก่อน จะเตรียมตัวได้ทัน และช่วยคนเปราะบางได้ปลอดภัย” ซึ่งชี้ให้เห็นถึงการเรียนรู้เชิงปฏิบัติที่แปรเป็นทักษะการจัดการวิกฤตจริง 3. เกิดความเข้าใจเรื่อง “สติ ทีมเวิร์ก และข้อมูลที่ถูกต้อง” ในการทำงานภาคสนาม ผู้เข้าร่วมตระหนักว่าการทำงานช่วยเหลือไม่ใช่เพียงแรงใจหรือความตั้งใจ แต่ต้องมีระบบข้อมูลและทีมงานที่เชื่อใจกันได้ พี่แอนกล่าวว่า “ถ้าขาดสติ มีแต่ใจอยากช่วย มันจะไม่ใช่จุดแข็งของเรา... ต้องมีทีมที่ฟังกันและมองไปในเป้าหมายเดียวกัน” — ซึ่งเป็นผลลัพธ์สำคัญด้านการเรียนรู้ภายในทีม 4. เกิดการเรียนรู้เรื่องการดูแลตนเองและการสร้างเครือข่ายความร่วมมือ จากการถอดบทเรียนของน้องไดมอนด์และน้องน้ำชา ผู้เรียนหลายคนตระหนักว่า ผู้ช่วยเหลือต้องดูแลตนเองให้ได้ก่อน เพื่อไม่กลายเป็นภาระในสถานการณ์วิกฤต และเครือข่ายภาคีในพื้นที่เป็นทรัพยากรสำคัญของการปฏิบัติงาน ข้อความหนึ่งที่สะท้อนชัดคือ “เราต้องดูแลตัวเองไม่ให้เป็นผู้ประสบภัยเสียเอง และต้องมีเครือข่ายในพื้นที่ที่ให้ข้อมูลได้ทันที” 5. เกิดการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างผู้เรียนและทีมปฏิบัติจริง การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างทีมภาคสนามและผู้เรียนออนไลน์ ทำให้เกิดความเข้าใจในบทบาทของแต่ละฝ่าย และสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ร่วมกันแบบ co-learning ผู้เข้าร่วมท่านหนึ่งกล่าวว่า “แต่ละคนมีความถนัดของตัวเอง ถ้ารู้ว่าใครทำอะไรได้ และช่วยกันได้ตรงจุด ก็จะจัดทีมได้อย่างมีประสิทธิภาพ” 6. เกิดการพัฒนาแนวคิดระบบข้อมูลภัยพิบัติแบบมีส่วนร่วม จากข้อเสนอของผู้เข้าร่วม เช่น การทำฐานข้อมูลผู้ประสบภัย–ผู้ช่วยเหลือ–พื้นที่ และการใช้เครื่องมือเทคโนโลยี เช่น GIS, Windy, iWater.net ร่วมกับข้อมูลภาคสนาม พี่กานต์เสนอว่า “เราควรมีลิสต์ข้อมูลติดต่อประสานไว้ล่วงหน้า เมื่อพยากรณ์เตือน เราจะได้คุยกับหมู่บ้านเหล่านี้ได้ทัน” — ซึ่งเป็นผลลัพธ์เชิงระบบที่นำไปสู่การออกแบบฐานข้อมูลชุมชนอย่างแท้จริง 7. เกิดการตระหนักรู้ร่วมกันว่าภัยพิบัติไม่ใช่เหตุการณ์เล็ก แต่เป็น “สงครามกับธรรมชาติ” ที่ต้องรับมือด้วยสติและความร่วมมือ คำของพี่เอ็มที่กล่าวว่า “สถานการณ์นี้เหมือนสงครามกับธรรมชาติ เราต้องมีทีมเวิร์ก มีกำลังใจ และสติ” ถูกหยิบยกขึ้นมาหลายครั้งในห้องเรียน เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ผู้เรียนมองเห็นคุณค่าของการเตรียมพร้อมเชิงจิตใจและการพึ่งพาอาศัยกัน 8. หลักสูตร AI for Highland Water Solution ก้าวสู่การเป็นต้นแบบการเรียนรู้จากสถานการณ์จริง การรวมข้อมูลภาคสนาม การสะท้อนบทเรียน และการสังเคราะห์เชิงระบบ ทำให้หลักสูตรนี้มีลักษณะของ “หลักสูตรภาคสนามจริง (Real Situation Learning Model)” ที่สามารถต่อยอดสู่การสร้างหลักสูตรอาสาสมัครภัยพิบัติและการจัดการน้ำแบบบูรณาการได้ในอนาคต@26 ต.ค. 68 13:06